
“กรภัทร” ชี้น้ำท่วมใต้กระทบ GDP เล็กน้อย–ลุ้นฟันด์โฟลว์ไหลเข้า ชูหุ้น KTB–GULF–GLOBAL
“กรภัทร วรเชษฐ์” ประเมินน้ำท่วมใต้กระทบ GDP เพียง 0.25–0.5% และกำไรตลาดลดราว 1 บาทต่อหุ้น ชี้โอกาสลดดอกเบี้ย 17 ธ.ค. สูง ดึงเงินต่างชาติไหลเข้า หนุน SET ฟื้นเร็วกว่าปี 2554 พร้อมแนะนำ 3 หุ้น เด่ย GULF KTB GLOBAL รับธีมดอกเบี้ยลงและซ่อมสร้างหนุน
นายกรภัทร วรเชษฐ์ ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการใหญ่ หัวหน้าสายงานวิจัย บริษัทหลักทรัพย์ กรุงศรี จำกัด (มหาชน) หรือ KSS เปิดเผยผ่านรายการ “ข่าวหุ้นเจาะตลาด” เมื่อวันที่ 27 พฤศจิกายน 2568 ว่า ตลาดหุ้นหลักในภูมิภาคยังคงเคลื่อนไหวในทิศทางเชิงบวก บรรยากาศการลงทุนโดยรวมมีความสดใส แม้ว่าตลาดหุ้นในกลุ่มประเทศอาเซียนจะเคลื่อนไหวสวนทาง โดยดัชนีหลายประเทศปรับตัวลงอยู่ในแดนลบ ซึ่งประเมินว่าเป็นผลจากปัจจัยเชิงโครงสร้างและปัญหาเศรษฐกิจภายในประเทศที่ยังต้องได้รับการแก้ไขเชิงลึก
สำหรับตลาดในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ KSS ระบุว่า อินโดนีเซียยังคงเป็นตลาดที่โดดเด่น แม้จะมีการพักตัวบางช่วง แต่ดัชนียังคงทำระดับสูงสุดใหม่ต่อเนื่อง (All time high) จากแรงสนับสนุนนโยบายภาครัฐ ขณะที่ฟิลิปปินส์ยังเผชิญปัญหาเศรษฐกิจคล้ายกับไทย และหลังจากดัชนีปรับขึ้นต่อเนื่องราว 2 สัปดาห์ เริ่มมีการพักฐานตามภาวะตลาดปกติ
ด้านประเทศไทย KSS ประเมินว่า เหตุการณ์อุทกภัยครั้งใหญ่ในพื้นที่ภาคใต้ โดยเฉพาะจังหวัดสงขลาและอำเภอหาดใหญ่ ซึ่งมีสัดส่วนเศรษฐกิจรวมราว 1.5% ของผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ (GDP) จะกดดันการเติบโตของเศรษฐกิจในไตรมาส 4 ปี 2568 ให้ต่ำกว่าคาด โดยในกรณีฐานที่ระยะเวลาฟื้นฟูอยู่ที่ 25 วัน ความเสียหายจะอยู่ที่ประมาณ 19,700 ล้านบาท ขณะที่กรณีรุนแรงที่ใช้เวลา 30 วัน ความเสียหายอาจแตะ 24,000 ล้านบาท ซึ่งอาจทำให้ GDP หายไปราว 0.25–0.5%
อย่างไรก็ดี ผลกระทบต่อกำไรตลาด (SET EPS) ถูกประเมินว่าอยู่ในระดับจำกัด โดยคาดว่าผลกระทบเต็มที่เพียง 1 บาทต่อหุ้น จากประมาณการเดิมที่ 89 บาทต่อหุ้น ซึ่งหากลดลงเหลือ 88 บาทต่อหุ้น ยังสอดคล้องกับกรอบมูลค่าพื้นฐาน (Valuation) ของตลาดโดยรวม
ในด้านนโยบายการเงิน KSS ประเมินว่า โอกาสในการปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายในการประชุมคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) วันที่ 17 ธันวาคมนี้เพิ่มสูงขึ้น จากเศรษฐกิจที่ชะลอตัวลง และอุปสงค์ในประเทศไตรมาส 3 ต่ำกว่าที่ธนาคารแห่งประเทศไทยประเมินไว้ ส่งผลให้เงินทุนต่างชาติไหลกลับเข้ามาลงทุนในตลาดหุ้นไทยต่อเนื่อง
KSS ระบุว่า เหตุการณ์น้ำท่วมใหญ่ปี 2554 เป็นกรณีศึกษา โดยครั้งนั้นดัชนี SET ร่วงจากราว 1,100 จุด ลงสู่บริเวณ 850 จุด และใช้เวลาราว 1 เดือนเพื่อฟื้นตัวขึ้นประมาณ 10% หรือราว 150 จุด ก่อนจะกลับสู่ระดับ 1,100 จุดได้ภายในประมาณ 3 เดือน โดยมีวิกฤตหนี้ยุโรปเป็นปัจจัยลบสำคัญร่วมด้วย
สำหรับรอบปัจจุบัน ดัชนี SET ปรับตัวลงจากระดับ 1,345 จุด จากแรงกดดันเชิงเข้มงวด (Hawkish) ของธนาคารกลางสหรัฐฯ และถูกซ้ำเติมด้วยวิกฤตน้ำท่วม KSS ประเมินว่าตลาดอาจฟื้นกลับสู่ระดับ 1,300 จุดได้เร็วกว่าปี 2554 โดยอาจใช้เวลาเพียง 1–2 สัปดาห์ หากนโยบายการเงินผ่อนคลายตามคาด ซึ่งจะเป็นปัจจัยสำคัญในการเร่งการฟื้นตัว
KSS มองว่า เมื่อระดับน้ำในภาคใต้พ้นจุดสูงสุด นักลงทุนมีแนวโน้มกลับมาเก็งกำไรในหุ้นกลุ่ม “Recovery Play” หรือกลุ่ม “ซ่อมสร้าง” โดยเฉพาะกลุ่มค้าปลีกวัสดุก่อสร้างและตกแต่งบ้าน ได้แก่ HMPRO, DOHOME, GLOBAL และ SCGD ซึ่งเป็นกลุ่มที่ได้ประโยชน์โดยตรงจากกิจกรรมซ่อมแซมและฟื้นฟูพื้นที่
ในด้านมูลค่าตลาด (Valuation) KSS ระบุว่า อัตราส่วนราคาต่อกำไร (P/E Ratio) ของตลาดไทยยังอยู่ในระดับต่ำ โดย P/E ปัจจุบันอยู่ที่ประมาณ 15.5 เท่า ขณะที่ Forward P/E อยู่ที่ราว 14 เท่า ต่ำกว่าค่าเฉลี่ยระยะ 1 ปีที่ประมาณ 15.3 เท่า อีกทั้งหากหักผลกระทบจากหุ้น DELTA ออกจากดัชนี จะทำให้ P/E ตลาดลดลงอีกประมาณ 1.5 เท่า สะท้อนว่าหุ้นขนาดใหญ่หลายตัวซื้อขายในระดับที่ค่อนข้างถูก
KSS ประเมินว่า กรอบ P/E ที่เหมาะสมของตลาดอยู่ที่ระดับ 15.3–17 เท่า ภายใต้ภาวะเศรษฐกิจที่ทยอยฟื้นตัว สภาพคล่องดีขึ้น และอัตราดอกเบี้ยอยู่ในระดับต่ำ ขณะที่เม็ดเงินลงทุนปลายปีจากกองทุนในประเทศ โดยเฉพาะกองทุนไทย ESG คาดว่าจะมีเม็ดเงินราว 20,000–25,000 ล้านบาท ซึ่งจะเป็นแรงสนับสนุนสำคัญให้ตลาดหุ้นไทยมีโอกาสปรับตัวขึ้นได้ต่อเนื่อง แม้ปัจจุบันยังขาดแรงขับเคลื่อนด้านจิตวิทยาการลงทุนอย่างเต็มที่ก็ตาม
สำหรับหุ้นเด่นประจำธีม (Top Pick) KSS เลือก 3 ตัว ได้แก่ GULF ได้ประโยชน์จากแนวโน้มอัตราดอกเบี้ยขาลงซึ่งยังเป็นภาพสนับสนุนการลงทุน ,KTB ในฐานะหุ้น Value Play กลุ่มธนาคารพาณิชย์ ได้รับผลกระทบจากน้ำท่วมน้อย และอยู่ในสถานะที่สามารถพิจารณาการซื้อหุ้นคืนได้อีกครั้ง และ GLOBAL มองเป็นหุ้น “Recovery Play” ที่ได้อานิสงส์จากการซ่อมสร้างหลังน้ำท่วม