“กรภัทร” แนะเก็บหุ้นกลุ่ม “Global–Domestic Play” พร้อมจับตาทางออกการเมืองไทย

"กรภัทร วรเชษฐ์" ประเมินสงครามตะวันออกกลาง-เฟดยังไม่ลดดอกเบี้ย ผนวกการเมืองไทยไร้ข้อยุติ กดดันตลาดหุ้นไทย แนะพลิกวิกฤตเป็นโอกาสทยอยลงทุนหุ้น Global Play และ Domestic Play พื้นฐานดี พร้อมจับตาทางออกการเมืองไทย


นายกรภัทร วรเชษฐ์ ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการใหญ่ หัวหน้าสายงานวิจัย บริษัทหลักทรัพย์ กรุงศรี จำกัด (มหาชน) เปิดเผยผ่านรายการ ข่าวหุ้นเจาะตลาด” เมื่อวันที่ 19 มิถุนายน 2568 ว่า ประเมินว่าตลาดหุ้นไทยยังคงเผชิญแรงกดดันจากปัจจัยภายนอกและภายในประเทศ โดยสถานการณ์ความขัดแย้งระหว่างอิสราเอลกับอิหร่านยังไม่ลุกลามเป็นสงครามวงกว้างหรือเกิดวิกฤตพลังงานโลกแบบเดียวกับกรณีรัสเซีย-ยูเครน แม้ราคาน้ำมันจะเร่งตัวขึ้นในช่วงนี้สะท้อนในความเสี่ยงระดับที่แรกคือยังจำกัดในกรอบข้อพิพาททางทหารระหว่างสองชาติเท่านั้น  ส่วนระยะสองหากขยายวงกว้างโอกาสเกิดวิกฤตราคาน้ำมันทะลุ 100 ดอลลาร์ต่อบาร์เรลยังค่อนข้างต่ำ แต่ถือเป็นปัจจัยกดดันเชิงจิตวิทยาต่อตลาดหุ้นในภาพรวม

ส่วนกรณีของธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด) ยังคงอัตราดอกเบี้ยไว้ตามคาด โดยมีแนวโน้มจะเริ่มปรับโทนนโยบายในไตรมาส 3 ปีนี้ โดยนักวิเคราะห์ยังเชื่อว่ามีโอกาสสูงที่ Fed จะลดดอกเบี้ยอย่างน้อย 2 ครั้งในปีนี้ หากไม่มีปัจจัยลบใหม่เพิ่มเติมจากสงครามหรือเงินเฟ้อที่เร่งตัวสูงผิดปกติ ท่าทีของนายเจอโรม พาวเวลล์ ยังสะท้อนถึงความพร้อมต่อการปรับลดดอกเบี้ย แต่รอประเมินผลกระทบจากนโยบายภาษีนำเข้า และผลการเจรจาการค้า

อย่างไรก็ตามความล่าช้าในการส่งสัญญาณลดดอกเบี้ยยังสร้างแรงกดดันต่อสินทรัพย์เสี่ยงในเอเชีย ขณะที่ภาพรวมตลาดหุ้นส่วนใหญ่ในภูมิภาคปรับตัวลดลงเช่นเดียวกับไทย

ส่วนสถานการณ์ทางการเมืองในประเทศเป็นอีกปัจจัยหลักที่ถ่วงตลาด โดยตลาดหุ้นไทยได้ “price in” ความไม่แน่นอนทางการเมืองไว้พอสมควรแล้ว โดยดัชนี SET ปรับลงกว่า 10% นับตั้งแต่วันที่ 14 พฤษภาคม เมื่อเริ่มเห็นรอยร้าวในรัฐบาล แต่ตลาตอบรับความเสี่ยงนั้นแล้วและปรับเพิ่มขึ้นราว 1.06% แสดงว่าตลาดได้สะท้อนความเสี่ยงออกไปมากกว่า 70–80% ผลตอบรับของตลาดต่อสถานการณ์การเมือง

อย่างไรก็ตามได้ประเมินผลตอบรับของตลาดต่อสถานการณ์การเมืองใน 3 กรณีดังนี้

1.หากนายกรัฐมนตรีลาออก ตลาดจะรีเฟรชเชิงบวกในระยะสั้น แต่ยังมีความไม่แน่นอนจากกระบวนการคัดสรรผู้นำใหม่ และการพิจารณาร่างงบประมาณปี 2569 จะปิดความเสี่ยงระยะกลางได้ อย่างไรก็ตามการฟื้นตัวมี upside จำกัดเพราะอาจต้องรอการสรรหาและรับรองนายกรัฐมนตรีคนใหม่ก่อนที่นโยบายจะขับเคลื่อนได้เต็มที่

2.กรณียุบสภา ตลาดจะตอบรับเชิงบวกในทันทีจากการ “รีเฟรช” ความเชื่อมั่น แต่กระบวนการจัดการเลือกตั้งและร่างงบประมาณจะทำให้ระยะกลางยังต้องพึ่งพาปัจจัยต่างประเทศ หากจัดเลือกตั้งภายในปีนี้ กระบวนการงบประมาณใหม่จะเริ่มได้ราวต้นปี 2569

3.รัฐบาลเดินหน้าต่อโดยรวมเสียงได้เพียงพอ หากสามารถผ่านงบประมาณในวาระ 2 และ 3 ได้ ตลาดจะรับรู้การคลายความเสี่ยงระยะกลาง–ยาว แต่หากไม่สามารถจัดการภายในได้ ก็มีความเสี่ยงที่จะต้องยุบสภาในภายหลัง ตรงนี้ตลาดอาจมีเสถียรภาพมากขึ้น แต่จะมี Upside ระยะสั้นที่จำกัด

นอกจากนี้การเจรจาการค้ากับสหรัฐฯ ถือเป็นประเด็นสำคัญอย่างยิ่ง เนื่องจากหากเกิดสุญญากาศทางการเมือง อาจทำให้การเจรจาการค้ากับสหรัฐฯ ต้องล่าช้าออกไป เพราะเป็นการตัดสินใจเชิงนโยบายใหญ่ๆ ที่ต้องรอผู้นำคนใหม่รวมถึงการเจรจากับประเทศเพื่อนบ้านอย่างกัมพูชาด้วย

สำหรัลกลยุทธ์การลงทุนในช่วงนี้คาดการณ์ว่า SET Index จะไม่ปรับตัวลดลงไปมากนัก อาจจะอยู่ที่ไม่เกิน 1,070 จุด และคาดว่าจะมีแรงซื้อกลับเข้ามา

จากสถานการณ์ทั้งหมด แหล่งข้อมูลแนะนำให้ “พลิกวิกฤตให้เป็นโอกาส” ในการทยอยสะสมหุ้นพื้นฐานดี โดยเน้นการซื้อแบบค่อยๆ แบ่งไม้ซื้อ ไม่ใช่ซื้อครั้งเดียวเต็มจำนวน

-หุ้นที่อิงปัจจัยภายนอก (Global Play / External Factor Play): ในระยะสั้น หุ้นกลุ่มนี้จะได้รับแรงขับเคลื่อนและ Outperform ตลาดได้ เนื่องจากไม่ได้รับผลกระทบโดยตรงจากปัจจัยภายในประเทศมากนัก เช่น กลุ่มพลังงาน และ กลุ่มส่งออก

-หุ้นที่อิงปัจจัยในประเทศ (Domestic Play): แม้ว่าหุ้นกลุ่ม Domestic Play ที่อิงกับงบประมาณภาครัฐจะได้รับแรงกดดัน แต่หากราคาปรับตัวลงมาลึก ถือเป็น “โอกาสในการเข้าซื้อสะสม” โดยเน้นเลือกหุ้นที่มีพื้นฐานธุรกิจที่แข็งแกร่งสามารถแข่งขันได้ และมีศักยภาพในการเติบโตในระยะกลางถึงยาว

โดยหุ้นที่น่าสนใจได้แก่

ค้าปลีก เช่น CPALL ซึ่งมีกระแสเงินสดแข็งแกร่งและเติบโตระยะกลางถึงยาวได้,

ธนาคารพาณิชย์: เช่น KBANK และ KTB ที่มีปันผลดี และปัญหาการเมืองเป็นเพียงปัจจัยระยะสั้น

กลุ่ม ICTเช่น ADVANC ซึ่งเป็นอุตสาหกรรมที่สร้างกระแสเงินสดแข็งแกร่ง

ธุรกิจโรงไฟฟ้าที่เกี่ยวข้องกับโครงสร้างพื้นฐาน (Infrastructure) และ Data Center: เช่น GULF

หุ้นภาคบริการ: เช่น โรงพยาบาล (BDMS) และการท่องเที่ยว (CENTEL) ซึ่งเป็นจุดแข็งของประเทศไทย

Back to top button