โบรกคัด 11 หุ้นเดือน ธ.ค. น่าเก็บติดพอร์ต ชูปันผลสูง

โบรกแนะสอย 11 หุ้นเด่น ลงทุนเดือน ธ.ค. ได้แก่ ADVANC, AMATA, BAM, CPALL, KTB, SCCC, TASCO CPN, AP, ORI, WHA เพื่อเป็นตัวเลือกลงทุนเก็บพอร์ตระยะสั้นและปันผลสูง


บริษัทหลักทรัพย์ เคจีไอ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) ระบุในบทวิเคราะห์ พอร์ตหุ้นแนะนำเดือนพฤศจิกายนลบ 6.7% และ under-perform ดัชนี SET ตลาดหุ้นไทยขยับลงแบบไซด์เวย์ดาวน์ ในเดือนพฤศจิกายนใกล้เคียงกับมุมมองรายเดือนของเรา เนื่องจากนักลงทุนตอบรับปัจจัยบวกต่าง ๆ ไปแล้ว อย่างเช่นประการแรก มาตรการกระตุ้นการบริโภคระยะสั้น, มาตรการกระตุ้นการท่องเที่ยว และ การใช้จ่ายในร้านอาหาร รวมถึงการอนุมัติมาตรกรแก้หนี้ครัวเรือน

ในขณะเดียวกัน ปัจจัยเศรษฐกิจโลกยังคงกลับไปกลับมาและ ทำให้ตลาดผันผวนหนักขึ้น มุมมองตลาดเดือนธันวาคม: เคลื่อนไหวในกรอบแคบท่ามกลางความไม่แน่นอนทางการเมืองที่เพิ่มขึ้น

สำหรับเดือนธันวาคม ทางฝ่ายวิจัยคาดว่าดัชนี SET จะเคลื่อนไหวในกรอบแคบ โดยในประการแรก ถึงแม้ว่า เศรษฐกิจ และ ตลาดการเงินโลกจะดูเป็นบวกมากขึ้นเล็กน้อย จากความคาดหวังว่าสหรัฐจะเร่งลดดอกเบี้ย และความสัมพันธ์ทางการค้าระหว่างสหรัฐ และ จีนมีสัญญาณดีขึ้น แต่ตลาดหุ้นไทยอาจจะเผชิญกับความไม่แน่นอนทางการเมืองที่เพิ่มขึ้นในเดือนธันวาคมเพราะอาจมีการยุบสภาก่อนกำหนด ตามกรอบเวลาเดิมในปลายเดือนมกราคม 2569

ประการที่สอง นักลงทุนมีแนวโน้มจะระมัดระวังมากขึ้นจากการที่ตัวเลขเศรษฐกิจไทยอาจจะชะลอตัวในเดือนต่อๆ ไป ในขณะที่ตลาดรับรู้มาตรการกระตุ้น เศรษฐกิจที่ออกโดยรัฐบาลชุดนี้ไปมากแล้ว

ประการสุดท้าย คือราคาหุ้น บริษัทเดลต้า อีเลคโทรนิคส์ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) หรือ DELTA ซึ่งเป็นหุ้นที่ใหญ่ ที่สุดในตลาดวิ่งขึ้นมาสูงมากแล้ว และ ตลาดอาจจะใช้มาตรการจำกัดการซื้อขายหุ้น

สำหรับหุ้นเด่นเดือนธันวาคม บริษัท แอดวานซ์ อินโฟร์ เซอร์วิส จำกัด (มหาชน) หรือ ADVANC, บริษัท เซ็นทรัลพัฒนา จำกัด (มหาชน) หรือ CPN, บริษัท เอพี (ไทยแลนด์) จำกัด (มหาชน) หรือ AP, บริษัท ออริจิ้น พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด (มหาชน) หรือ ORI และบริษัท ดับบลิวเอชเอ คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ WHA

ADVANC รายงานกำไรสุทธิในไตรมาส 3/2568 อยู่ที่ 1.20 หมื่นล้านบาท เพิ่มขึ้น 37% เมื่อเทียบกับงวดเดียวกันของปีก่อน และเพิ่มขึ้น 10% จากไตรมาสก่อนหน้า) ดีกว่าประมาณการของเรา 7% และ ดีกว่า consensus 9% เนื่องจากค่าใช้จ่าย SG&A ลดลงอย่างมาก และรายได้จากบริการมือถือ/FBB เพิ่มขึ้นอย่างแข็งแกร่ง

ทั้งนี้ กำไรจากธุรกิจหลักในงวด 9 เดือนปี 2568 คิดเป็น 74% ของประมาณการกำไรปี 2568 ของเรา และคาดว่าบริษัทจะรักษาโมเมนตัมได้ในไตรมาส 4/2568 จากยอดขายเครื่องมือถือเกรด premium, ARPU ที่สูงขึ้น และ การ upsell ที่นำโดย EPL

CPN รายงานกำไรปกติในไตรมาส 3/2568 อยู่ที่ 4.2 พันล้านบาท เพิ่มขึ้น 1% เมื่อเทียบกับงวดเดียวกันของปีก่อน แต่ลดลง 3% จากไตรมาสก่อนหน้า) แต่กำไรสุทธิพุ่ง สูงขึ้นทำสถิติสูงสุดใหม่ที่ 5.4 พันล้านบาท เพิ่มขึ้น 31.5% เมื่อเทียบกับงวดเดียวกันของปีก่อน และเพิ่มขึ้น 26% จากไตรมาสก่อนหน้า) ซึ่งรวมกำไรพิเศษ 1.24 พันล้าน บาท (หลังหักภาษี) ที่เกี่ยวข้องกับธุรกรรมระหว่าง CPN และ CPNREIT ในโครงการเซ็นทรัลพระราม 2 คาดว่ากำไรจะเติบโตอย่างแข็งแกร่งยิ่งขึ้นอีกในช่วงไตรมาส 4/2568 ถึงปี 2569 เนื่องจากมีพื้นที่เช่าเพิ่มขึ้น จากห้างใหม่

AP รายงานกำไรสุทธิในไตรมาส 3/2568 อยู่ที่ 1.15 พันล้านบาท ลดลง 20% เมื่อเทียบกับงวดเดียวกันของปีก่อน แต่เพิ่มขึ้น 15% จากไตรมาสก่อนหน้า) ซึ่งเป็นไปตามคาด โดยยอดขายลดลงแต่อัตรากำไรขั้นต้นเพิ่มขึ้น 1.2% จากไตรมาสก่อนหน้า ในขณะที่ส่วนแบ่งกำไรจาก JV พุ่งสูงขึ้นจากไตรมาสก่อนหน้า

ทางฝ่ายวิจัยคาดว่ากำไรในไตรมาส 4/2568 จะสูงที่สุดในรอบปีนี้เนื่องจากบริษัทมีงานในมือ (Backlog) โครงการอสังหา แนวราบที่รอรับรู้รายได้เป็นจำนวนมาก และ จะมีคอนโดใหม่ที่สร้างเสร็จพร้อมโอนหนึ่งโครงการ

ORI รายงานกำไรสุทธิของ ORI ในไตรมาส 3/2568 อยู่ที่ 184 ล้านบาท ลดลง 42% จากไตรมาสก่อนหน้า ดีกว่าประมาณการของทางฝ่ายวิจัยที่ 143 ล้านบาท และ ดีกว่า consensus ที่ 148 ล้านบาท โดยทั้งรายได้ และ อัตรากำไรขั้นต้นลดลงในขณะที่ ค่าใช้จ่ายที่รวมสำรองพิเศษพุ่งสูงขึ้น

อย่างไรก็ตาม ยังดีที่มีกำไรจากการขายการลงทุนก้อนใหญ่มาช่วย ขับเคลื่อนผลประกอบการ ทางฝ่ายวิจัยคาดว่ากำไรในไตรมาส 4/2568 จะสูงที่สุดในรอบปีนี้ เนื่องจากจะมีคอนโดพร้อม โอนเพิ่มขึ้น, มีกำไรจากการขายการลงทุนเพิ่มขึ้น และ ผลขาดทุนทางบัญชีลดลง

WHA ทางฝ่ายวิจัยคาดว่าธุรกิจนิคมอุตสาหกรรมของบริษัท จะดีดตัวขึ้นจากไตรมาสก่อนหน้าในไตรมาส 4/2568 เนื่องจากยอดขายและยอดโอนที่ดินเพิ่มขึ้น โดยจะได้แรงหนุนจากอัตรากำไรขั้นต้นที่แข็งแกร่งที่ประมาณ 45% และ มีการขายสินทรัพย์ เข้ากองทุน (asset monetization) 700–800 ล้านบาท

ส่วนธุรกิจสาธารณูปโภค และ ไฟฟ้าที่อยู่ภายใต้ บริษัท ดับบลิวเอชเอ ยูทิลิตี้ส์ แอนด์ พาวเวอร์ จำกัด (มหาชน) หรือ WHAUP ก็มีแนวโน้มแข็งแกร่งขึ้นจากการที่ data center ที่อยู่ในนิคมฯ ของบริษัทเริ่มเปิดดำเนินการ ทางฝ่ายวิจัยปรับประมาณการกำไรปี 2568-2569 เพื่อสะท้อนถึงยอดขายที่ดีขึ้นในธุรกิจสาธารณูปโภคและไฟฟ้า ในขณะที่ยังคงสมมติฐานยอดโอนที่ดินเอาไว้เท่าเดิม

นายอภิชาติ ผู้บรรเจิดกุล CISA ผู้อำนวยการอาวุโส สายงานวิเคราะห์เชิงกลยุทธ์ บริษัทหลักทรัพย์ ทิสโก้ จำกัด เปิดเผยว่า ช่วงครึ่งเดือนแรกของเดือนธันวาคม ตลาดหุ้นไทยอาจแกว่งไซด์เวย์ถึงไซด์เวย์ดาวน์ เนื่องจากรอความชัดเจนของทิศทางดอกเบี้ยนโยบายสหรัฐฯ ว่าจะปรับลดอัตราดอกเบี้ยหรือไม่ หลังตัวเลขเศรษฐกิจต่าง ๆ รายงานล่าช้ากว่ากำหนด ประกอบกับปัจจัยการเมืองภายในประเทศ ที่ตลาดยังคงกังวลเรื่องการยุบสภา

มองว่าช่วงนี้เป็นจังหวะสะสมและทยอยตั้งรับ โดยคาดว่าตลาดจะมีเสถียรภาพมากขึ้นในช่วงครึ่งเดือนหลังเมื่อปัจจัยข้างต้นมีความชัดเจน และมีโอกาสฟื้นตัวขึ้นจากแรงขับเคลื่อนเงินกองทุนลดหย่อนภาษี ผสานกับมูลค่าพื้นฐานหุ้นไทยซึ่งไม่รวมหุ้น DELTA

ทั้งนี้ มูลค่าหุ้นไทยถือว่าน่าสนใจเทียบเคียงช่วงวิกฤตโควิด (COVID-19) อ้างอิงจากตัวแบบ Earning Yield Gap ที่ไม่รวมหุ้น DELTA ขณะเดียวกันอัตราปันผลยังช่วยจำกัดความเสี่ยงขาลง แม้ภาพเทคนิคยังเป็นลบก็ตาม

ทางฝ่ายวิจัยประเมินหุ้นเด่นในเดือนธันวาคม 2 กลุ่ม ได้แก่ หุ้นขนาดใหญ่ ที่คาดว่าจะเป็นเป้าหมายลงทุนของ TESG ได้แก่ บริษัท แอดวานซ์ อินโฟร์ เซอร์วิส จำกัด (มหาชน) หรือ ADVANC, บริษัท ซีพี ออลล์ จำกัด (มหาชน) หรือ CPALL และธนาคารกรุงไทย จำกัด (มหาชน) หรือ KTB

รวมถึงหุ้นปันผลสูงและมีปัจจัยบวกระยะสั้น ได้แก่ บริษัท อมตะ คอร์ปอเรชัน จำกัด (มหาชน) หรือ AMATA ปันผล 5–6% ได้ประโยชน์จากมาตรการ Thailand Fast Pass, บริษัทบริหารสินทรัพย์ กรุงเทพพาณิชย์ จำกัด (มหาชน) หรือ BAM ปันผล 7% ได้แรงหนุนจากการจัดตั้ง JV AMC และคาดว่าคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) จะปรับลดดอกเบี้ยในเดือนธันวาคม

บริษัท ปูนซีเมนต์นครหลวง จำกัด (มหาชน) หรือ SCCC ปันผล 7–8% มีดีมานด์ซ่อมแซมหลังน้ำท่วม, บริษัท ทิปโก้แอสฟัลท์ จำกัด (มหาชน) หรือ TASCO ปันผล 6% ได้แรงหนุนจากความต้องการซ่อมแซมหลังน้ำท่วม

ดังนั้น หุ้นเด่นที่บล.ทิสโก้แนะนำเดือนธันวาคม ได้แก่ ADVANC, AMATA, BAM, CPALL, KTB, SCCC และ TASCO โดยแนวรับสำคัญของ SET อยู่ที่ 1,250–1,260 จุด แนวรับถัดไปที่ 1,220–1,230 จุด และ 1,200 จุด ส่วนแนวต้านอยู่ที่ 1,300–1,320 จุด และ 1,345 จุด ตามลำดับ

นายอภิชาติ กล่าวว่า การประชุมธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด) ในเดือนธันวาคมยังมีความไม่แน่นอนสูง เนื่องจากตัวเลขเศรษฐกิจสหรัฐฯ ที่รายงานล่าช้าจากปัญหาชัตดาวน์ก่อนหน้านี้จะทยอยเปิดเผย ซึ่งอาจทำให้ตลาดประเมินโอกาสการปรับลดดอกเบี้ยของเฟด “เหวี่ยง” ไปมา

ทั้งนี้ ตัวเลขสำคัญทั้งการจ้างงานนอกภาคเกษตร และเงินเฟ้อเดือนพฤศจิกายน จะรายงานวันที่ 16 และ 18 ธันวาคม ตามลำดับ หลังการประชุมเฟดในวันที่ 9–10 ธันวาคม 2568 อย่างไรก็ดี ไม่ว่าเฟดจะลดดอกเบี้ยหรือไม่ในรอบนี้ บล.ทิสโก้ มองว่า เฟดยังมีแนวโน้มผ่อนคลายนโยบายการเงินต่อเนื่อง

สำหรับการประชุม กนง. วันที่ 17 ธันวาคมที่จะถึงนี้ บล.ทิสโก้ คาดว่าจะปรับลดดอกเบี้ยนโยบาย 0.25% สู่ 1.25% ซึ่งจะเป็นผลดีต่อแนวโน้มการลงทุนในช่วงครึ่งเดือนหลัง

ด้านการเมืองในประเทศยังเผชิญความไม่แน่นอนจากกระแสข่าวฝ่ายค้านเตรียมยื่นอภิปรายไม่ไว้วางใจ และอาจทำให้นายอนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย ชิงยุบสภาทันทีในวันแรกที่เปิดประชุมสภาสามัญประจำปีครั้งที่สอง วันที่ 12 ธันวาคมนี้

หากการเมืองไทยสะดุดและเข้าสู่สุญญากาศเร็วขึ้น อาจกระทบการแก้ไขรัฐธรรมนูญและการผลักดันมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ เช่น “คนละครึ่งพลัส เฟส 2” อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ อย่างไรก็ดี บล.ทิสโก้ มองว่า กรณีฐานยังคาดว่าการยุบสภาจะเกิดขึ้นตามกำหนดเดิมช่วงสิ้นเดือนมกราคม 2569 หลังร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญ ผ่านวาระ 3 ในช่วงกลางเดือนมกราคม ส่งผลให้การเมืองจะเริ่มเห็นความชัดเจนมากขึ้นในช่วงกลางเดือนธันวาคม

ด้านทางเลือกการลงทุนต่างประเทศผ่าน DR เดือนธันวาคม บล.ทิสโก้ แนะนำ XIAOMI80 และ PANW80 โดย XIAOMI (1810 HK) ราคาหุ้นปรับลงกว่า 30% จากจุดสูงสุดรอบเดือนกันยายน ทำให้มีอัพไซด์น่าสนใจ ขณะเดียวกันรัฐบาลจีนมีแนวโน้มสนับสนุนอุตสาหกรรมที่เกี่ยวกับคุณภาพชีวิต เช่น อุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์และรถยนต์ไฟฟ้า

ส่วน PANW80 (PANW US) ประกอบธุรกิจด้าน Cybersecurity ที่เติบโตควบคู่ AI และ Cloud ได้รับการสนับสนุนจากภาครัฐ และยังมีระดับการประเมินมูลค่าที่ถูกกว่า พร้อมอัพไซด์สูงกว่าหุ้นกลุ่ม AI อื่นๆ

Back to top button