KOOL บวก 3.73% ลุ้นกำไร Q1-Q2/60 โตกระฉูด! รับอานิสงส์ฤดูร้อน

KOOL บวก 3.73% % ลุ้นกำไร Q1-Q2/60 โตกระฉูด! รับอานิสงส์ฤดูร้อน ล่าสุด ณ เวลา 15.41 น. ราคาอยู่ที่ 8.35 บาท บวก 0.30 บาท หรือ 3.73% สูงสุดที่ 8.35 บาท ต่ำสุดที่ 7.95 บาท มูลค่าซื้อขายที่ 126.06 ล้านบาท โบรกฯ แนะ “ซื้อ”


ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ราคาหุ้นบริษัท มาสเตอร์คูล อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด (มหาชน) หรือ KOOL ณ เวลา 15.41 น. ราคาอยู่ที่ 8.35 บาท บวก 0.30 บาท หรือ 3.73% สูงสุดที่ 8.35 บาท ต่ำสุดที่ 7.95 บาท มูลค่าซื้อขายที่ 126.06 ล้านบาท

บริษัท มาสเตอร์คูล อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด (มหาชน) หรือ KOOL เปิดเผยว่า แผนดำเนินธุรกิจในปี 60 บริษัทวางแผนที่จะทำการตลาดในเชิงรุกครอบคลุมทุกช่องทางทั้งตลาดในประเทศและตลาดส่งออก รวมไปถึงช่องทางออนไลน์ ตั้งเป้ายอดขายเติบโตประมาณ 40% จากปี 59 ที่มีรายได้รวมประมาณ 890 ล้านบาท

ทั้งนี้ บริษัทได้วางงบประมาณด้านการทำตลาดประมาณ 30 ล้านบาท แบ่งเป็นการทำตลาดในส่วนของบีโลว์เดอะไลน์ (Below the Line) ประมาณ 70% และอะโบฟเดอะไลน์ (Above the Line) ประมาณ 30% ผ่านการจัดกิจกรรม ณ จุดขาย การสร้างการรับรู้ในตัวผลิตภัณฑ์ การทำโฆษณาประชาสัมพันธ์ และการทำโปรโมชั่นการขายต่างๆ ซึ่งได้มีการเจรจากับพันธมิตรเพื่อเพิ่มช่องทางการการขายที่เข้าถึงกลุ่มลูกค้าที่ยังเข้าไม่ถึง

นอกจากนี้ บริษัทได้วางแผนการบริหารจัดการในการผลิตสินค้าเพื่อสะสมสต๊อกให้ทันความต้องการที่จะมีการขยายตัวเพิ่มมากขึ้น เนื่องจากขณะนี้มีตัวแทนจำหน่ายจำนวนมากเริ่มมีการสั่งสินค้าเพื่อสะสมสต๊อกเพื่อไม่ให้สินค้าขาดตลาดเช่นเดียวกับปีที่ผ่านมา ซึ่งการสั่งสต๊อกครั้งนี้เพื่อรองรับฤดูกาลขายในช่วงหน้าร้อนของปี 60 ที่จะเริ่มตั้งแต่ปลายเดือน ก.พ.เป็นต้นไป โดยขณะนี้บริษัทได้มีการบริหารคลังสินค้าเพื่อจัดเก็บสต๊อกเป็นที่เรียบร้อย พร้อมการจัดส่งสินค้าให้ทั่วถึงไปยังตัวแทนจัดจำหน่ายทั่วประเทศและในต่างประเทศ รวมไปถึงการขยายช่องทางจัดจำหน่ายที่ปัจจุบันมี 400 แห่งทั่วประเทศ คาดว่าจะเพิ่มเป็น 800 แห่งทั่วประเทศในปีนี้

 

นายนพชัย วีระมาน กรรมการผู้จัดการ KOOL เปิดเผยว่า บริษัทตั้งเป้ารายได้จะเติบโตต่อเนื่องอย่างก้าวกระโดดไปที่ไม่ต่ำกว่า 3 พันล้านบาทในปี 63  เนื่องจากบริษัทเตรียมเปิดตัวสินค้ากลุ่มใหม่ที่เป็นเครื่องใช้ไฟฟ้านอกเหนือจากพัดลมไอเย็น ในช่วงเดือน มิ.ย.นี้ โดยบริษัทคาดหวังที่สร้างสัดส่วนรายได้ราว 20% ของรายได้รวม เพื่อที่จะชดเชยยอดขายที่หายไปในครึ่งปีหลัง หรือช่วงฤดูฝน และ ฤดูหนาว เพื่อเป็นการสร้างเสถียรภาพของรายได้

นอกจากนี้ บริษัทตั้งเป้าอัตรากำไรสุทธิของบริษัทในปีนี้จะเพิ่มขึ้นมาอยู่ในระดับที่ไม่ต่ำกว่า 10% จากปีก่อนอยู่ที่ 9.78% เนื่องจากบริษัทมีการบริหารจัดการเรื่องของต้นทุนได้ค่อนข้างดี โดยเฉพาะในเรื่องของค่าโฆษณาที่เพิ่มขึ้นในอัตราที่ต่ำกว่ายอดขาย ในขณะเดียวกันบริษัทยังมีการประกันความเสี่ยงเรื่องของอัตราแลกเปลี่ยน เพื่อที่จะไม่ให้มีผลขาดทุนเหมือนเช่นที่เกิดขึ้นในปี 58

 

ด้านบล.ไอร่า แนะนำ ซื้อ” KOOL ราคาเป้าหมาย 8.20 บาท/หุ้น โดยมองว่าการหดตัวของยอดขายในประเทศของงวดไตรมาส 4/59 นั้นเป็นผลมาจากปัจจัยชั่วคราวเท่านั้น ที่มีการบริโภคของสินค้าบางเภทลดต่ำลง อีกทั้งไตรมาส 4 ซึ่งอยู่ในช่วงฤดูฝนและฤดูหนาวซึ่งไม่ใช่ฤดูขายของพัดลมไอเย็น

ขณะที่ปัจจุบันกำลังเข้าใกล้ฤดูร้อนซึ่งพัดลมไอเย็นจะขายดีในช่วงเดือนมีนาคมถึงมิถุนายน โดยดีลเลอร์จะต้องมีการสต็อกสินค้าล่วงหน้าในช่วงมกราคมและกุมภาพันธ์ (ช่วงก่อนฤดูขาย) ทำให้ผลประกอบการในงวดไตรมาส 1/60 จะกลับมาทำกำไรได้อีกครั้ง และมีกำไรสูงสุดในช่วงไตรมาส 2/60 ซึ่งเป็นช่วงฤดูร้อนทั้งไตรมาส และยังได้รับปัจจัยบวกจากสภาพอากาศที่คาดว่าอุณหภูมิทุกภูมิภาคจะสูงกว่าปกติเล็กน้อย (อ้างอิงข้อมูลจากกรมอุตุนิยมวิทยา)

โดยปัจจุบัน KOOL มีการเพิ่มช่องทางการขายผ่านทาง Modern Trade มาอยู่ที่ 520 สาขา ซึ่งมากกว่าช่วงปลายปีที่แล้วกว่าเท่าตัว ประเด็นหลักๆมาจากการขยายตลาดเข้าไปในห้างสรรพสินค้า Big C และ Tesco Lotus ได้สำเร็จ อีกช่องทางหนึ่งที่น่าจะเติบโตดีไม่แพ้กันก็คือการส่งออก เมื่อพิจารณาจากการเติบโตของยอดส่งออกในช่วงไตรมาส 4/59 มีความเป็นไปได้สูงที่การส่งออกจะเติบโตมากกว่าคาดการณ์เดิมของฝ่ายวิจัยในปัจจุบัน (ช่วงครึ่งปีแรก) ตลาดส่งออกหลักคือกลุ่ม CLMV เนื่องจากมีฤดูร้อนใกล้เคียงกับประเทศไทย โดยเฉพาะเวียดนามซึ่งเป็นประเทศที่มีการเติบโตสูง โดยลูกค้าต่างประเทศนั้นมีทั้งลูกค้าเดิมที่เคยค้าขายกันมาก่อน และลูกค้าใหม่ที่ได้จากการไปออกงานแสดงสินค้าที่ประเทศจีนเป็นประจำทุกปี รวมถึงในไตรมาส 4 ที่ผ่านมาด้วย

Back to top button