CWT คาดกำไรปีนี้สูงกว่า 30.07 ลบ.ปีก่อน หลังเน้นงานมาร์จิ้นสูง

CWT มั่นใจรายได้ปีนี้ตามเป้า 1.2 พันลบ. คาดกำไรสุทธิปีนี้สูงกว่า 30.07 ลบ.ปีก่อน หลังรับงานมาร์จิ้นสูง


นายวีระพล ไชยธีรัตต์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท ชัยวัฒนา แทนเนอรี่ กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) หรือ CWT เปิดเผยว่า บริษัทคาดว่ากำไรสุทธิปีนี้จะมากกว่าปีก่อนที่มีกำไรสุทธิอยู่ที่ 30.07 ล้านบาท เนื่องจากการผลิตเบาะหนังรถยนต์โมเดลใหม่ให้กับค่ายรถยนต์มีมาร์จิ้นที่สูงขึ้น ซึ่งจะผลักดันกำไรสุทธิให้เพิ่มขึ้น

ประกอบกับในปีนี้อุตสาหกรรมรถยนต์จะฟื้นตัวขึ้นจากปีก่อน ทำให้ปัจจุบันมียอดการสั่งผลิตเบาะหนังรถยนต์จากค่ายรถยนต์เข้ามาเป็นจำนวนมาก ประกอบมีโมเดลรถยนต์ใหม่ๆเริ่มสั่งเข้ามา อย่างเช่น โมเดลใหม่ของรถยนต์อีซูซุ มิวเอ็กซ์ ซึ่งส่งผลดีต่อการเติบโตของรายได้ของบริษัท ทำให้บริษัทมั่นใจว่ารายได้ในปีนี้จะเป็นไปตามเป้าหมายที่ตั้งไว้ที่ 1.2 พันล้านบาท หลังจากไตรมาส 1/58 บริษัททำรายได้ไปแล้วที่ 310 ล้านบาท

นอกจากนี้บริษัทได้ลงทุนโรงไฟฟ้าพลังงานขยะร่วมกับพันธมิตรอีก 2 ราย คือ บริษัท ซีโรเวซท์ จำกัด และบริษัท ลาวี เอ็นจิเนียริ่ง (ประเทศไทย) จำกัด ในการดำเนินโครงการลงทุนโครงการโรงไฟฟ้าพลังงานขยะ 4 โครงการ ใน 3 จังหวัด ขนาดกำลังการผลิตไฟฟ้ารวม 40 เมกะวัตต์ มูลค่าลงทุนรวม 8.3 พันล้านบาท โดยใช้กระแสเงินสดของบริษัทราว 2.4 พันล้านบาท และส่วนที่เหลือใช้เงินกู้จากสถาบันการเงินในลักษณะเงินกู้โครงการ (project finance) โดยคาดว่าจะได้สัญญาการซื้อขายไฟฟ้า (PPA) ทั้งหมดในปีนี้ โดยสัญญาแรก ที่มีกำลังการผลิต 10 เมกะวัตต์ จะขายไฟฟ้าจำนวน 8 เมกะวัตต์นั้น คาดว่าจะได้รับในช่วงเดือนก.ค.นี้

ทั้งนี้ โรงไฟฟ้าพลังงานขยะจะสร้างรายได้ให้กับบริษัทปีละ 500 ล้านบาทต่อแห่ง ซึ่งคาดว่าจะเริ่มทยอยจำหน่ายไฟฟ้าได้ตั้งแต่ช่วงปลายปี 60 ถึงต้นปี 61 ทำให้บริษัทคาดว่าในช่วงปี 61 สัดส่วนรายได้จากธุรกิจไฟฟ้าของบริษัทจะเพิ่มเป็นมากกว่า 50% จากปัจจุบันบริษัทมีเพียงสัดส่วนรายได้จากการผลิตเบาะหนังให้กับค่ายรถยนต์ อีกทั้งบริษัทยังอยู่ระหว่างการศึกษาการลงทุนโรงไฟฟ้ากังหันแก๊ส ในประเทศญี่ปุ่น แต่ยังไม่มีความชัดเจนในขณะนี้

โดยบริษัทได้ศึกษาเรื่องธุรกิจพลังงานอย่างจริงจังมาระยะหนึ่งแล้ว และประเมินว่าประเทศไทยมีความจำเป็นที่จะใช้พลังงานทดแทนเพื่อรองรับการขยายตัวทางเศรษฐกิจอีกมาก โดยเฉพาะอย่างยิ่งประเทศไทย กำลังเข้าสู่ประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน (AEC) ในปลายปีนี้ อีกทั้งแนวโน้มเศรษฐกิจที่จะขยายตัวเพิ่มขึ้นจากปัจจัยดังกล่าว บริษัทจึงเล็งเห็นโอกาสในการทำธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับพลังงานไฟฟ้า

Back to top button