JMT บวก 4.12% รับอานิสงส์ JMART ได้พันธมิตรใหม่ กูรูมองศักยภาพเติบโตทวีคูณ

JMT ณ เวลา 11.43น. ราคาอยู่ที่ 17.70 บาท บวก 0.70 บาท หรือ 4.12% สูงสุดที่ 18.40 บาท ต่ำสุดที่ 17.50 บาท มูลค่าซื้อขายที่ 18.17 ล้านบาท ขณะที่ดัชนีตลาดหุ้นไทยโดยรวมลบ 0.06% รับอานิสงส์ JMART ได้พันธมิตรใหม่ กูรูมองศักยภาพเติบโตทวีคูณ


ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ราคาหุ้นบริษัท เจ เอ็ม ที เน็ทเวอร์ค เซอร์วิสเซ็ส จำกัด (มหาชน) หรือ JMT ณ เวลา 11.43น. ราคาอยู่ที่ 17.70 บาท บวก 0.70 บาท หรือ 4.12% สูงสุดที่ 18.40 บาท ต่ำสุดที่ 17.50 บาท มูลค่าซื้อขายที่ 18.17 ล้านบาท ขณะที่ดัชนีตลาดหุ้นไทยโดยรวมลบ 0.06%

บล.ทรีนีตี้ ระบุในบทวิเคราะห์ (8 มิ.ย.) ว่า JMT เริ่มทำธุรกิจให้บริการติดตามหนี้มาเกือบ 20 ปี โดยได้เก็บข้อมูลลักษณะลูกค้ามาตลอด ทำให้มีฐานข้อมูลลูกค้าที่แข็งแกร่งจากนั้นเมื่อปี 2549 จึงเริ่มการซื้อหนี้เข้ามาบริหารเอง

โดย ณ สิ้นปี 2557 มีพอร์ตลูกหนี้ที่รับบริหารให้แก่สถาบันการเงินมูลค่ารวม 15,954 ล้านบาท และพอร์ตหนี้ที่ประมูลมาบริหารเองมูลค่ารวม 62,933 ล้านบาท โดยบริษัทมีคู่แข่งหลักคือ สำนักงานกฎหมายในประเทศ ซึ่งมักประมูลหนี้ไปเพื่อนำไปฟ้องร้องต่อ ทำให้สถาบันการเงินยินดีขายหนี้ให้แก่ JMT มากกว่า แม้จะให้ราคาประมูลที่ต่ำกว่า เนื่องจากวิธีการทวงหนี้ของ JMT มีลักษณะประนีประนอม

ทั้งนี้คาดว่าจะทำให้ช่วยรักษาชื่อเสียงของสถาบันการเงินด้วย ทำให้ปัจจุบัน JMT เป็นอันดับ 1 ในตลาดหนี้เสียที่ไม่มีหลักประกัน (Unsecured Loan) มีส่วนแบ่งตลาดคิดเป็นราว 90% ของหนี้เสียไม่มีหลักประกันที่สถาบันการเงินนำมาประมูลทั้งหมดในแต่ละปี โดยเฉลี่ยแล้ว JMT จะประมูลหนี้ด้วยเงินลงทุนราว 5% ของมูลหนี้คงค้าง ซึ่งหนี้ก้อนแรกที่ประมูลได้เมื่อ 9 ปีก่อนสามารถเก็บเงินได้ราว 4 เท่าของมูลค่าเงินลงทุนแล้ว และคาดว่ายังสามารถเรียกเก็บเงินจากมูลหนี้ก้อนนี้ได้ต่อในอนาคต

สำหรับเป้าหมายปี 2558 บริษัทคาดว่าจะประมูลหนี้เข้ามาเพิ่มเติมอีกราว 3 หมื่นล้านบาท ขณะที่ในไตรมาสแรกบริษัทสามารถประมูลหนี้เข้ามาได้แล้วราว 1 หมื่นล้านบาท โดยเงินลงทุนจะมาจากการเพิ่มทุนทั้ง RO และ PP ที่เพิ่งเสร็จสิ้นไปเมื่อเร็วๆ นี้ ในส่วนของ PP ทำให้ได้พันธมิตรทางธุรกิจใหม่คือ BTS Holding Group เข้ามาถือหุ้นในสัดส่วนราว 5% ซึ่งจะมีการร่วมมือในการทำธุรกิจในอนาคต สำหรับเงินเพิ่มทุนส่วนที่เหลือจะนำไปลงทุนในธุรกิจใหม่ โดยเฉพาะนาโนไฟแนนซ์ที่บริษัทรู้จักลูกหนี้เป็นอย่างดี จากฐานข้อมูลของบริษัทเอง และข้อมูลจากบริษัทแม่ซึ่งดำเนินธุรกิจเป็นเจ้าของตลาดหลายแห่ง

ทั้งนี้คาดว่ากำไรสุทธิปี 2558 จะอยู่ที่ราว 183 ล้านบาท เติบโตราว 50% จากปีก่อน ภายใต้สมมติฐานว่าบริษัทสามารถประมูลหนี้ได้ตามที่วางไว้ ซึ่งจะทำให้ ณ สิ้นปีมูลหนี้รวมเพิ่มเข้าไปใกล้ 1 แสนล้าน แต่เรายังไม่รวมธุรกิจใหม่เข้ามาในประมาณการ เนื่องจากคาดว่าจะยังมีสัดส่วนน้อยเมื่อเทียบกับธุรกิจหลัก เราประเมินราคาเป้าหมายภายใต้วิธี DCF ที่ 25 บาท (รวม Dilution จากการเพิ่มทุนแล้ว) แนะนำ “ซื้อ”

ขณะที่ เมื่อวันที่ 5 มิ.ย. ที่ประชุมคณะกรรมการ JMART มีมติอนุมัติให้ซื้อหุ้น บริษัท ซิงเกอร์ประเทศไทย จำกัด (มหาชน) หรือ SINGER เป็นจำนวน 67,499,900 หุ้น หรือราว 24.99% ในราคาหุ้นละ 14 บาท คิดเป็นมูลค่า 944,998,600 บาท และได้เข้าซื้อหุ้นดังกล่าวในวันเดียวกัน โดยเป็นการซื้อจาก SINGER (THAILAND) B.V. ซึ่งเป็นการชำระด้วยเงินสดที่มาจากการกู้ยืมจากสถาบันการเงินแห่งหนึ่ง และการขายตั๋วแลกเงินระยะสั้น

 

ด้าน บล. เอเซีย พลัส กรุ๊ป โฮลดิ้ง ระบุในบทวิเคราะห์ (8 มิ.ย.) ว่า JMART เข้าซื้อ SINGER สัดส่วน 24.99% ไม่ใช่เพียงแต่จะได้รับส่วนแบ่งกำไรตามสัดส่วนถือหุ้น แต่ยังมีมูลค่าเพิ่มแอบแฝงจากศักยภาพการต่อยอดธุรกิจกันหลายรูปแบบในอนาคต โดยจะผ่านเข้ามาทางธุรกิจหลักขายมือถือและติดตามหนี้ ยืนยัน “ซื้อ” JMART

อนึ่ง JMART เป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ในบริษัท JMT ถือหุ้นทั้งหมด 75% 

Back to top button