“ศรีสุวรรณ”จับพิรุธรถไฟเชื่อม 3 สนามบินล็อคสเปค รฟท.ยันประมูลโปร่งใส-TORเชื่อถือได้

"ศรีสุวรรณ"จับพิรุธรถไฟเชื่อม 3 สนามบินล็อคสเปค ฟาก รฟท.ยันประมูลโปร่งใส-TOR เปิดกว้างเชื่อถือได้


นายวรวุฒิ มาลา รองผู้ว่าการกลุ่มธุรกิจการบริหารทรัพย์สิน รักษาการในตำแหน่งผู้ว่าการรถไฟแห่งประเทศไทย (รฟท.) เปิดชี้แจงหลังจาก นายศรีสุวรรณ จรรยา เลขาธิการสมาคมองค์การพิทักษณ์รัฐธรรมนูญไทย ออกแถลงการณ์เรียกร้องให้นายกรัฐมนตรีสั่งการให้มีการทบทวนและแก้ไขทีโออาร์ โครงการรถไฟเชื่อม 3 สนามบิน เนื่องจากมีแนวโน้มส่อการทุจริต

โดยได้ชี้แจงว่าที่ดินบริเวณมักกะสัน ได้ดำเนินการในลักษณะที่ให้เอกชนเช่าพื้นที่ของการรถไฟฯ โดยมีการคิดค่าเช่าตามระเบียบของการรถไฟฯ และตามผลการศึกษาของบริษัทที่ปรึกษาเมื่อต้นปี 61 ซึ่งการรถไฟฯมีแผนงานที่จะดำเนินการในลักษณะนี้อยู่แล้ว แม้ว่าจะไม่มีโครงการรถไฟความเร็วสูงเชื่อม 3 สนามบินที่ดินที่จะให้เอกชนเช่าดังกล่าว มีขนาดพื้นที่ประมาณ 150 ไร่ และให้เช่ารวมระยะเวลาในการก่อสร้างเป็นระยะเวลา 50 ปีเท่านั้น ไม่มีเงื่อนไขต่อหรือขยายระยะเวลาใน TOR และสัญญา

ทั้งนี้ การรถไฟฯ จะมีค่าเช่าตลอดอายุสัญญา ประมาณ 51,000 ล้านบาท หลังจากสัญญาเช่าหมด ทรัพย์สินที่เกิดจากการลงทุนงหมดจะตกเป็นทรัพย์สินของการรถไฟฯ ในลักษณะเช่นเดียวกับ โครงการห้างสรรพสินค้า เซ็นทรัล ลาดพร้าว ซึ่งสัญญาเช่ารอบแรกสิ้นสุดเมื่อปี 2551 ค่าเช่าปีสุดท้ายประมาณ 10 ล้านบาท ภายหลังจากทรัพย์สินจากสัญญาเช่าตกเป็นของการรถไฟฯ แล้ว โครงการมีมูลค่าผลตอบแทนตลอด 20 ปี ประมาณ 21,000 ล้านบาท

สำหรับการประเมินมูลค่าที่ดิน การรถไฟฯ ได้ให้ที่ปรึกษาที่มีวิชาชีพประเมินดำเนินการตามหลักการ และวิธีการที่สากลยอมรับ โดยใช้ฐานข้อมูลที่ดินในตลาด ซึ่งมีทำเลใกล้เคียงกับที่ดินแปลงดังกล่าวในโครงการ

ส่วนที่มีความคิดเห็นว่ามีเจตนาที่จะยึดแอร์พอร์ตลิงก์ มูลค่า 4 หมื่นล้านบาทไปให้เอกชนในราคาเพียง 1.3 หมื่นล้านบาท ทำให้การรถไฟฯ ยังคงต้องแบกภาระหนี้จากการลงทุนต่อไปอีกเกือบ 30,000 ล้านบาทนั้น ปัจจุบันโครงการแอร์พอร์ตลิงก์ มีหนี้ประมาณ 33,229 ล้านบาท และการดำเนินงานแอร์พอร์ตลิงก์ขาดทุนทุกปีประมาณ 300 ล้านบาท ถ้าปล่อยแบบนี้ต่อไป การรถไฟฯ จะเป็นหนี้สะสมเพิ่มขึ้นทุกปี เนื่องจากการดำเนินงาน

โดยเอกชนคาดว่าจะไม่ขาดทุน และเอกชนมาบริหารจะให้บริการที่ดีขึ้น มีรายได้มากขึ้นกว่าที่โครงการเดิมดำเนินการอยู่ ใน TOR รัฐจึงให้เอกชนต้องจ่ายสิทธิการบริหารแอร์พอร์ตลิงก์ ให้การรถไฟฯ ไม่น้อยกว่า 10,671 ล้านบาท (คิดจากค่าเสียโอกาสรายได้ หากการถไฟฯ ดำเนินโครงการเอง) ประการสำคัญ การขาดทุนของแอร์พอร์ตลิงก์ที่เป็นอยู่ ทำให้ไม่สามารถเพิ่มบริการให้เท่ากับความต้องการของประชาชนได้เต็มที่ ดังนั้น เอกชนที่เข้ามาบริหารต้องการเพิ่มการลงทุน และสอดคล้องกับความต้องการ และเพิ่มประสิทธิภาพการบริการต่อประชาชนได้อย่างเต็มที่

อย่างไรก็ตาม นายกรัฐมนตรี ในฐานะประธานคณะกรรมการนโยบายเขตเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก (กพอ.) ได้ให้นโยบายไว้ว่า การประมูลรถไฟความเร็วสูงเชื่อม 3 สนามบิน และโครงการ PPP หลัก ใน EEC ต้องเป็นแบบเปิดกว้างแบบนานาชาติ หรือ International Bidding

โดยรายละเอียดหลักการดังกล่าว ได้ผ่านการพิจารณาของ กพอ. ในการประชุมครั้งที่ 3/2561 เมื่อวันที่ 18 เมษายน 2561 และคณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบเมื่อการประชุมวันที่ 22 พฤษภาคม 2561 ซึ่งคณะกรรมการคัดเลือกโครงการรถไฟความเร็วสูง ได้นำหลักการดังกล่าวประกอบการจัดทำเอกสารคัดเลือกเอกชน และมีบริษัทเอกชนมาซื้อเอกสารจำนวน 7 บริษัท ญี่ปุ่น จำนวน 4 บริษัท ฝรั่งเศส จำนวน 2 บริษัท มาเลเซีย จำนวน 2 บริษัท อิตาลี จำนวน 1 บริษัท และเกาหลีใต้ จำนวน 1 บริษัท แสดงว่าเป็นไปตามเจตนารมณ์ที่ต้องการเปิดกว้างให้มีการแข่งขันแบบนานาชาติ เอกชนต่างประเทศมีความเชื่อถือว่า โครงการเป็นแบบเปิดกว้าง ไม่ล็อคสเปค

 

อนึ่งวันที่ 5 ส.ค.ที่ผ่านมา นายศรีสุวรรณ จรรยา เลขาธิการสมาคมองค์การพิทักษ์รัฐธรรมนูญไทย ออกแถลงการณ์สมาคมฯ โดยขอให้นายกฯสั่งการให้มีการทบทวนและแก้ไข TOR โครงการรถไฟเชื่อม 3 สนามบิน ที่ส่อมีการทุจริตและประพฤติมิชอบ ซึ่งมีการฮุบเอาที่ดินกว่า 140 ไร่บริเวณมักกะสันของการรถไฟฯ เข้าไปรวมอยู่ในโครงการฯด้วยนั้น ถือได้ว่าการกำหนด TOR ดังกล่าวส่อไปในทางทุจริตและประพฤติมิชอบ นำทรัพย์สินของรัฐ ไปเอื้อประโยชน์ให้เอกชน อันเป็นการกระทำที่ส่อไปในทางทุจริตผิดกฎหมายหลายประการ ดังนี้

1) TOR โครงการฯดังกล่าว จงใจขัดพระบรมราชโองการของล้นเกล้ารัชกาลที่ 5 ที่ทรงเมตตาพระราชทานที่ดินบริเวณมักกะสันให้เป็นของการรถไฟฯเพื่อนำไปใช้ประโยชน์ในกิจการรถไฟเพื่อประโยชน์สุขของประชาชนส่วนใหญ่เป็นที่ตั้ง ให้กลายเป็นที่ดินในครอบครองของนายทุนเอกชนที่จะนำไปดำเนินธุรกิจเพื่อแสวงหากำไรสูงสุดเป็นที่ตั้งแทน

2) TOR โครงการฯดังกล่าว ได้ผนวกที่ดินของการรถไฟฯบริเวณมักกะสันกว่า 140 ไร่ไปให้เอกชนพัฒนาซึ่งไม่เกี่ยวข้องกับการขนส่งระบบราง ถือได้ว่าจงใจที่จะกระทำด้วยประการใด ๆให้ที่ดินดังกล่าวตกไปเป็นกรรมสิทธิ์ของเอกชนตลอดระยะเวลาสัมปทาน 50 ปี (47 ปี) อันส่อไปในทางขัดต่อรัฐธรรมนูญ 2560 มาตรา ๕๖ ประกอบมาตรา ๑๖๔(๑)(๓) อย่างชัดแจ้ง

3) TOR โครงการฯดังกล่าว จงใจที่จะประเมินราคาที่ดินบริเวณมักกะสันให้ต่ำกว่าความเป็นจริง 3-4 เท่า เพื่อเอื้อประโยชน์ให้กับเอกชน เพราะตามที่ รษก.ผู้ว่าฯ รฟท.ได้แถลงว่าราคาที่ดินมักกะสันตีราคาเพียง 6 แสนบาท/ตรว. แต่ทว่าราคาที่ดินบริเวณใกล้เคียง เช่น ที่ดิน รร.ปาร์คนายเลิศกลับมีการซื้อขายกันถึง ตรว.ละ 1.8 ล้านบาท ที่ดินสถานทูตอังกฤษมีการซื้อขายกัน ตรว.ละ 2 ล้านบาท ทำให้รัฐเสียประโยชน์ด้านมูลค่าที่ดินไปมากกว่า 286,400 ล้านบาท

4) TOR โครงการฯดังกล่าว จงใจที่จะยึดแอร์พอร์ตเรลลิงค์มูลค่า 4 หมื่นล้านบาทไปประเคนให้เอกชนในราคาเพียง 1.3 หมื่นล้านบาท ทำให้การรถไฟฯยังคงต้องแบกภาระหนี้จากการลงทุนต่อไปอีกเกือบ ๓ หมื่นล้านบาท ชี้ให้เห็นว่ารัฐไม่ได้รับประโยชน์ตอบแทนอย่างเป็นธรรมแต่อย่างใด

5) TOR โครงการฯดังกล่าว จงใจเขียน “ล็อคสเปก” เพื่อ “ฮั้วประมูล” ให้เอกชนบางรายที่ตกเป็นข่าวเป็นการเฉพาะ เข้าข่ายความผิดตาม “พรบ.ว่าด้วยความผิดเกี่ยวกับการเสนอราคาต่อหน่วยงานของรัฐ 2542” เนื่องจากเป็นการผูกโยงโครงการรถไฟฟ้าเชื่อม ๓ สนามบิน กับกิจกรรมการพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ในพื้นที่โดยรอบสถานีเข้าด้วยกัน ทำให้จะมีเพียงกลุ่มนายทุนระดับชาติเพียงไม่กี่รายที่สามารถจับมือกับผู้ประกอบการรถไฟฟ้าความเร็วสูงจากต่างประเทศได้ จึงเป็นการเขียน TOR แบบล็อคสเปก เพื่อกีดกันนักลงทุนขนาดกลางและเล็กที่จะหมดสิทธิ์ในการเข้าร่วมประมูล ซึ่งที่ดินมักกะสัน 140 ไร่ไม่เกี่ยวใด ๆ ต่อการพัฒนา ๓ จังหวัดของ EEC แต่อย่างใด

ขณะที่ ระบุว่า หากรัฐบาลยังคงเดินหน้าโครงการฯดังกล่าวโดยไม่มีการทบทวนหรือแก้ไข TOR ตามข้อเรียกร้องนี้ ถือได้ว่า ฯพณฯ นายกรัฐมนตรี และ รษก.ผู้ว่าฯ รฟท. จงใจที่จะใช้อำนาจไปในทางมิชอบต่อกฎหมาย และมีเจตนาที่จะเอื้อประโยชน์ให้กับกลุ่มทุนบางรายเป็นการเฉพาะ ซึ่งสมาคมฯและกัลยาณมิตร คณะตรวจสอบภาคประชาชน สหภาพรัฐวิสาหกิจ รฟท.จำต้องใช้สิทธิในการนำความขึ้นร้องต่อ “ศาลอาญาคดีทุจริตและประพฤติมิชอบ” เพื่อหาข้อยุติ แม้ในอนาคตท่านทั้งสองจะหมดอำนาจไปแล้วหรือไม่ก็ตาม

ทั้งนี้ สมาคมฯและกัลยาณมิตร จึงจะเดินทางไปยื่นคำร้องเพิ่มเติมต่อ ฯพณฯ นายกรัฐมนตรี ณ ศูนย์รับเรื่องร้องเรียน ทำเนียบรัฐบาล ตึก กพร.เดิม ในวันจันทร์ที่ 6 สิงหาคม 2561 เวลา 10.30 น. เพื่อเป็นการตั้งประเด็นพิพาทไว้ก่อนล่วงหน้าตามที่กฎหมายบัญญัติ ก่อนที่จะนำไปสู่การยื่นฟ้องต่อศาลต่อไป

Back to top button