
ปิดข่าว! ปลดล็อกวิตก IRPC ศาลฎีกาฯยกฟ้อง “ทักษิณ” แทรกแซงฟื้นฟู “ทีพีไอ”
ปิดข่าว! ปลดล็อกวิตก IRPC ศาลฎีกาฯยกฟ้อง "ทักษิณ" แทรกแซงฟื้นฟู "ทีพีไอ"
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ในวันนี้ (29 ส.ค.) ที่ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง ถ.แจ้งวัฒนะ องค์คณะผู้พิพากษาศาลฎีกาฯ จำนวน 9 ท่าน นัดฟังคำพิพากษาในคดีหมายเลขดำที่ อม.40/2561 ที่คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) เป็นโจทก์ ยื่นฟ้อง นายทักษิณ หรือ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี เป็นจำเลย ต่อศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง ในความผิดต่อตำแหน่งหน้าที่ราชการ ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 157
จากกรณีคณะกรรมการ ป.ป.ช. มีมติชี้มูลความผิดจำเลยว่า เมื่อครั้งดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี มีอำนาจหน้าที่ในการบริหารราชการแผ่นดิน ตาม พ.ร.บ.ระเบียบบริหารราชการแผ่นดิน พ.ศ. 2534 เมื่อ ร.อ.สุชาติ เชาว์วิศิษฐ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ได้นำเรื่องที่จะให้กระทรวงการคลังเข้าไปเป็นผู้บริหารแผนบริษัท อุตสาหกรรมปิโตรเคมีกัลไทย จำกัด (มหาชน) หรือ TPI ปัจจุบันคือ บริษัท ไออาร์พีซี จำกัด (มหาชน) หรือ IRPC ซึ่งเป็นบริษัทเอกชน จำเลยในฐานะนายกรัฐมนตรี
โดยทราบดีอยู่แล้วว่ากระทรวงการคลังเป็นส่วนราชการ มีอำนาจหน้าที่เฉพาะตามที่บัญญัติไว้ในมาตรา 10 แห่ง พ.ร.บ.ปรับปรุงกระทรวง ทบวง กรม พ.ศ.2542 ไม่มีอำนาจเข้าไปบริหารกิจการของบริษัทเอกชน แต่จำเลยกลับเห็นชอบให้กระทรวงการคลังเข้าไปเป็นผู้บริหารฟื้นฟูกิจการของบริษัท TPI
อีกทั้งยังได้เสนอรายชื่อรายชื่อบุคคลเข้าเป็นผู้บริหารแผนด้วย ต่อมา ร.อ.สุชาติ ได้แจ้งไปยังสำนักฟื้นฟูกิจการของลูกหนี้ ยินยอมให้กระทรวงการคลังเข้าไปเป็นผู้บริหารแผนของบริษัท TPI และแจ้งรายชื่อตามที่จำเลยได้ให้ความเห็นชอบแล้ว เป็นผลให้ศาลล้มละลายกลางมีคำสั่งเมื่อวันที่ 11 ก.ค. 2546 ให้กระทรวงการคลังเข้าเป็นผู้บริหารแผน การกระทำของจำเลยเป็นเหตุให้เกิดความเสียหายต่อระบบราชการ
โดยองค์คณะฯ มีคำพิพากษาด้วยมติเสียงข้างมาก เห็นว่าการที่นายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ไม่ทักท้วงกรณีกระทรวงการคลังเข้าเป็นผู้บริหารแผนฟื้นฟูกิจการบริษัททีพีไอ ไม่ได้มีเจตนาพิเศษที่จะแสวงหาผลประโยชน์เพื่อตนเองหรือเพื่อผู้อื่นในการเสนอชื่อคณะกรรมการบริหารแผน 5 คนใหม่ และข้อเท็จจริงปรากฎว่าการเข้าบริหารแผนพื้นฟูของกระทรวงการคลังในกิจการทีพีไอก็เกิดจากความยินยอมของธนาคาร เจ้าหนี้ ลูกหนี้ สภาพแรงงาน รวมทั้งเป็นไปตามคำสั่งของศาลล้มละลายกลาง ซึ่งกระทรวงการคลังก็ถือเป็นหน่วยงานรัฐที่ดูแลแก้ไขเศรษฐกิจของประเทศ
ขณะที่ปัญหาหารเข้าฟื้นฟูกิจการทีพีไอก็สืบเนื่องมาจากเศรษฐกิจสมัยรัฐบาล พล.อ.ชวลิต ยงใจยุทธ ที่ประกาศลอยตัวค่าเงินบาท จนกระทบต่อธุรกิจต่างๆ ที่ได้กู้เงินกับต่างชาติ มูลค่าหนี้จะสูงเพิ่มขึ้นเท่าตัว โดยกรณีของทีพีไอมีมูลค่าหนี้สูงขึ้น 1.3 แสนล้านบาทภายในข้ามคืน จากเดิมอยู่ที่ 65,000 ล้านบาทเศษ ซึ่งกระทบต่อบริษัทที่มีพนักงานกว่า 7 พันคน อีกทั้งนายประชัย เลี่ยวไพรัตน์ อดีตผู้บริหารทีพีไอ รวมทั้งสหภาพแรงงานของบริษัทก็เคยเสนอให้กระทรวงการคลังเข้ามาแก้ไข
นอกจากนี้ พยานหลักฐานของโจทก์ตามทางไต่สวนก็ยังฟังไม่ได้ว่า เมื่อกระทรวงการคลังเข้าบริหารแผนและจ่ายค่าตอบแทนให้กับคณะผู้บริหารที่โจทก์อ้างว่าเป็นพรรคพวกของจำเลย รวมทั้งการซื้อขายหุ้นเพิ่มทุนของกิจการทีพีไอก็กำหนดให้ซื้อเพียงหน่วยงานในกำกับดูแลของกระทรวงการคลัง เช่น ปตท. ธ.ออมสิน และ กองทุน กบข. เป็นต้น ก็ไม่ปรากฎพยานหลักฐานว่าจำเลยได้รับผลประโยชน์เหล่านั้นแต่อย่างใด ซึ่งเงินค่าตอบแทนเกี่ยวกับการฟื้นฟูกิจการก็ปรากฎว่าเป็นคดีที่ศาลฎีกา มีคำพิพากษาให้คืนเงินค่าตอบแทนจากการเข้าบริหารแผนฟื้นฟู จำนวน 224 ล้านบาทเศษแล้ว
โดยข้อกล่าวหาที่โจทก์ฟ้องยังไกลเกินกว่าเหตุ ไม่มีพยานหลักฐานเพียงพอรับฟังได้ว่าจำเลยกระทำผิดตามมาตรา 157 ฐานปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ หรือโดยทุจริตฯ พิพากษายกฟ้อง
ด้าน นายพัฒนพงศ์ จันทร์เพชรพูล ผอ.สำนักงาน ป.ป.ช. กล่าวว่า หลังจากนี้จะกลับไปรายงานทั้งข้อเท็จจริงในสำนวนคดีและการพิจารณาของศาลฎีกาฯให้คณะกรรมการป.ป.ช.ว่าจะดำเนินการอุทธรณ์หรือไม่ ภายในกำหนด 30 วัน
อนึ่งคดีดังกล่าวสืบเนื่องจากเมื่อปี 2546 นายทักษิณ ชินวัตร ในฐานะนายกรัฐมนตรี ได้เห็นชอบและยินยอมให้กระทรวงการคลัง เข้าเป็นผู้บริหารแผนฟื้นฟูกิจการของบริษัท อุตสาหกรรมปิโตรเคมีกัลไทย จำกัด (TPI) ตามที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังเข้าปรึกษา จนนำไปสู่การทำหนังสือยินยอมของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ให้กระทรวงการคลังเข้าเป็นผู้บริหารแผนของบริษัท อุตสาหกรรมปิโตรเคมีกัลไทย จำกัด (TPI) โดยมีรายชื่อ คณะผู้บริหารแผน ตามที่นายทักษิณ ชินวัตร เสนอ และกระทรวงการคลังได้เข้าไปเป็นผู้บริหารแผน
โดยการกระทำของ นายทักษิณ ชินวัตร เมื่อครั้งดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี จึงเป็นการกระทำทั้งที่รู้อยู่ว่ากระทรวงการคลัง ซึ่งเป็นส่วนราชการ ไม่มีอำนาจหน้าที่ตามกฎหมายที่จะเข้าไปเป็นผู้บริหารแผนกิจการหรือจัดการทรัพย์สินให้กับบริษัทเอกชน เป็นเหตุให้เกิดความเสียหายแก่กระทรวงการคลังและเสียหายต่อระบบราชการ โดยผู้ตรวจการแผ่นดินของรัฐสภาได้ยื่นคำร้องพร้อมความเห็นขอให้ศาลรัฐธรรมนูญพิจารณาวินิจจัยตามรัฐธรรมนูญเฉพาะ มาตรา 198 ว่า พระราชบัญญัติล้มละลายกลาง พุทธศักราช 2483 มาตรา 90/17 วรรคสอง ขัดหรือแย้งต่อรัฐธรรมนูญมาตร 48 และมาตรา 50 ประกอบมาตรา 29 หรือไม่
อย่างไรก็ตาม เมื่อวันที่ 4 พ.ย.2547 ศาลรัฐธรรมนูญ ได้ยกคำร้องผู้ตรวจการแผ่นดินของรัฐสภา ว่าการให้กระทรวงคลังเป็นผู้บริหารแผนนั้นชอบด้วยรัฐธรรมนูญแล้ว ขณะที่ศาลล้มละลายกลาง มีคำสั่งยกคำร้องกรณีขอให้ผู้บริหารแผนพ้นจากตำแหน่งถึง 2 ครั้ง คือ 8 เม.ย.2548 และ 14 ก.ย.2548
ต่อมาคณะทำงานผู้แทนฝ่ายอัยการสูงสุดและฝ่ายคณะกรรมการ ป.ป.ช. ได้รวบรวมพยานหลักฐานยื่นฟ้องคดีดังกล่าวโดยไม่อาศัยอัยการ เมื่อวันที่ 7 พ.ค.ที่ผ่านมา ต่อศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง ซึ่งศาลฯ ใช้เวลาประมาณ 3 เดือน และศาลฯ ได้มีคำพิพากษายกฟ้องอีกครั้งในวันนี้
ด้านราคาหุ้น IRPC ปิดตลาดภาคเช้าที่ระดับ 6.85 บาท บวก 0.15 บาท หรือ 2.24% สูงสุดที่ระดับ 6.90 บาท ต่ำสุดที่ระดับ 6.65 บาท มูลค่าการซื้อขาย 698.94 ล้านบาท