เปิดโผ“หุ้นบลูชิพ” 11 เดือนลงมากกว่าขึ้น! แนะเก็บ 16 หุ้นลุ้นเด้งแรงโค้งท้ายปี 61

เปิดโผ“หุ้นบลูชิพ” 11 เดือนลงมากกว่าขึ้น! แนะเก็บ 16 หุ้นลุ้นเด้งแรงโค้งท้ายปี 61


 “ข่าวหุ้นธุรกิจออนไลน์ ได้ทำการสำรวจราคาหุ้นของบริษัทจดทะเบียน (บจ.) ในกลุ่ม SET50 ในรอบ 11 เดือน โดยเทียบราคาหุ้นปิด ณ วันที่ 29 ธ.ค.60-30 พ.ย.61 โดยทิศทางราคาหุ้นในช่วง 11 เดือนที่ผ่านมานับว่ามีแรงกดดันหลายด้าน อาทิ แรงกดดันจากอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐฯ อายุ 10 ปี (10Y US Bond Yield) ที่พุ่งแตะระดับ 3.24% และความวิตกธนาคารกลางสหรัฐฯ (FED) จะขึ้นอัตราดอกเบี้ยเร็วกว่าที่คาด รวมทั้งประเด็นสงครามการค้าระหว่างสหรัฐฯ-จีนที่ยังกดดันการลงทุนมากสุดในเวลานี้

อย่างไรก็ตามตลาดหุ้นไทยรับรู้ปัจจัยเสี่ยงต่างๆ ไปค่อนข้างมาก เชื่อว่าเดือนสุดท้ายของปีจะเห็นการฟื้นตัวของหุ้นหลายๆตัว โดยเฉพาะหุ้นพื้นฐานกลุ่ม SET50 ที่ปรับตัวลงแรง ซึ่งน่าจะมีปัจจัยบวกสนับสนุนทั้งแนวโน้มผลประกอบการไตรมาส 4/2561 จะออกมาโดดเด่น ผนวกกับหุ้นที่อยู่ใน high season และน่าจะได้รับประโยชน์จากมาตรการกระตุ้นการท่องเที่ยวของภาครัฐที่ออกมากระตุ้นอย่างมากในช่วงนี้

สำหรับหุ้น SET50 ที่ปรับตัวขึ้นแรงโดดเด่นในช่วง 11 เดือนที่ผ่านมามีทั้งหมด 17 ตัว คือ KTC,PTTEP,BDMS,MTC,HMPRO, LOBAL,BEM,BTS,TOA,PTT, EGCO,GLOW,KTB, CPF,BBL, IVL และ BH

โดยบริษัท บัตรกรุงไทย จำกัด (มหาชน) หรือ KTC เป็นหุ้นที่ครองแชมป์ราคาปรับตัวแรงในรอบ 11 เดือนกลุ่ม SET50 โดยราคาหุ้นปรับตัวขึ้นแรง 82.80% โดยปรับตัวขึ้นจากระดับ 18.60 บาท เมื่อวันที่ 29 ธ.ค. 60 มาอยู่ที่ระดับ 34.00 บาท ณ วันที่ 30 พ.ย.61 เนื่องจากหุ้นมีปัจจัยบวกเข้ามาหนุนทั้งเรื่องแตกพาร์ แผนธุรกิจโดดเด่น และผลการดำเนินงานที่ออกมาอย่างสดใสและต่อเนื่อง

บล.ฟินันเซีย ไซรัส ระบุในบทวิเคราะห์ว่า บริษัท บัตรกรุงไทย จำกัด (มหาชน) หรือ KTC แนะนำซื้อ ราคาเป้าหมายปี 2019 เท่ากับ 46 บาท คาดกำไรสุทธิปีนี้ 5.3 พันลบ. +61% เทียบช่วงเดียวกันของปีก่อนแนวโน้มกำไรไตรมาส 4/61 จะทำจุดสูงสุดใหม่อีกครั้งตามฤดูกาลการจับจ่ายใช้สอย และมาตรการกระตุ้นกำลังซื้อของภาครัฐฯ

คาดกำไรปีหน้า 6.6 พันลบ. +24% เทียบช่วงเดียวกันของปีก่อนจากรายได้ดอกเบี้ยที่สูงขึ้นตามการเติบโตของสินเชื่อที่เป็น High-yield ทำให้ Spread ดีขึ้น และคาด Credit cost ลดลงจากการตั้งสำรองฯที่จำเป็นน้อยลง เพราะคุณภาพสินเชื่อดีขึ้น

ด้านหุ้นที่ปรับฐานลงแรงและมีโอกาสดีดกลับ 33 ตัว อาทิ DTAC,LH,DELTA,TCAP,TRUE,BGRIM,AOT,ADVANC, SCB,PTTGC,BPP,ROBINS, RATCH,EA,SCC,KKP,TISCO,CPN,CPALL, TU,INTUCH, BANPU,IRPC,KBANK,MINT,BJC,TMB,GPSC,TOP,CENTEL,SPRC,CBG และ BEAUTY 

ทั้งนี้หากสังเกตกลุ่มหุ้นที่ปรับตัวลงแรงท้ายตารางจะพบว่ามีหุ้น 16 ตัวที่ราคาร่วงแรงเกิน 10% ซึ่งกลุ่มนี้น่าจะเป็นเป้าหมายการเข้าลงทุนเดือนช่วงโค้งสุดท้ายของปี อีกทั้งน่าจะเป็นเป้าหมายเม็ดเงิน LTF-RMF ไหลเข้า และรับแรงหนุนมาตรการภาครัฐและน่าสะสมเข้าพอร์ตอักครั้ง

 

บล.เคจีไอ ฝ่ายวิจัยประเมินว่าตลาดหุ้นไทยในเดือนที่แล้ว รับรู้ปัจจัยเสี่ยงต่างๆ ไปค่อนข้างมาก และด้วยปัจจัยบวกที่เพิ่มขึ้นทั้งฝั่งต่างประเทศ (สหรัฐฯ และจีนบรรลุข้อตกลงในการประชุม G-20 ว่าจะไม่ปรับขึ้นภาษีนำเข้าอีกอย่างน้อย 90 วัน ขณะที่สัญญาณนโยบายการเงินของสหรัฐฯ ได้ผ่อนคลายลงกว่าเดิม) รวมทั้งปัจจัยบวกภายในประเทศ (ตัวเลขเศรษฐกิจไทยฟื้นตัวค่อนข้างเร็ว ผนวกกับในเดือน ธ.ค. น่าจะมีความชัดเจนมากขึ้นเกี่ยวกับช่วงเวลาการจัดการเลือกตั้ง)

ประเมิน SET Index ปรับตัวขึ้นในเดือนนี้ โดยมองเป้าหมายเชิงกลยุทธ์ไว้ที่ 1,710 จุด อิงเป้าหมายพีอีที่ 15.4 เท่า และประมาณการ EPS ของตลาดหุ้นไทยสิ้นปีนี้ซึ่งอยู่ที่ 111 จุด ด้วยมุมมองตลาดหุ้นที่เป็นบวกมากขึ้นในเดือน ธ.ค. เน้นหุ้นตัวหลักของกลุ่มเชื่อมโยงเศรษฐกิจภายในประเทศ ซึ่งน่าจะมีปัจจัยบวกสนับสนุนในเดือนนี้ ผนวกกับหุ้นที่แนวโน้มผลประกอบการไตรมาส 4/2561 จะออกมาโดดเด่นทั้งเทียบช่วงเดียวกันของปีก่อน และ เทียบไตรมาสก่อนหน้า ผนวกกับหุ้นที่อยู่ใน high season และน่าจะได้รับประโยชน์จากมาตรการกระตุ้นการท่องเที่ยวของภาครัฐ

 

บล.ทิสโก้ ระบุว่า ในช่วงเดือน ธ.ค. ของทุกปี จะเป็นเดือนที่เม็ดเงิน LTF และ RMF ไหลเข้าตลาดหุ้นไทยมากที่สุด เราคาดว่าในเดือน ธ.ค. ปีนี้จะมีเม็ดเงิน LTF และ RMF ไหลเข้าราว 2.5 หมื่นล้านบาท และ 1.5 หมื่นล้านบาทตามลำดับ ซึ่งมองว่าจะช่วยผลักดันตลาดหุ้นไทยฟื้นตัวได้หลังจากที่ร่วงลงมา 2 เดือนติดต่อกัน

สอดคล้องกับสถิติความเคลื่อนไหวของตลาดหุ้นไทยในเดือน ธ.ค. ย้อนหลังนับตั้งแต่มีการจัดตั้ง LTF & RMF ในปี 2005 เป็นต้นมาพบว่า มักให้ผลตอบแทนเป็นบวกเฉลี่ย +1.4% โดยมีระดับความเชื่อมั่นประมาณ 70% แต่สิ่งที่น่าสนใจ คือ ปีที่ SET Index เดือน ธ.ค. ให้ผลตอบแทนติดลบล้วนเป็นปีที่ต่างชาติขายสุทธิอย่างมีนัยสำคัญระดับ 3-4 หมื่นล้านบาททุกครั้ง

ซึ่งในปีนี้เรามองโอกาสที่ต่างชาติจะขายสุทธิในระดับดังกล่าวมีน้อยมาก เนื่องจากต่างชาติขายสุทธิหุ้นไทยไปมากแล้วในช่วงปี 2013-2018 (YTD) โดยขายสุทธิรวมมูลค่ามากกว่า 6 แสนล้านบาท และเป็นการขายทั้งสิ้น 5 ปีจากทั้งหมด 6 ปี

มองแนวโน้ม SET Index อยู่ในช่วงการแกว่งสร้างฐานไม่หลุดระดับ 1600 จุด เพื่อคาดหวังการขยับซิกแซกขึ้นในช่วงปีหน้ารับผลเชิงบวกจากการเลือกตั้ง (Pre-election Rally) ด้วยเรามองเม็ดเงิน LTF & RMF จะเป็นปัจจัยหลักในการขับเคลื่อนตลาดหุ้นไทยในเดือน ธ.ค. ฟื้นตัวขึ้น

*ทั้งนี้ข้อมูลที่มีการนำเสนอข้างต้น เป็นเพียงข้อแนะนำจากข้อมูลพื้นฐานเพื่อประกอบการตัดสินใจของนักลงทุนเท่านั้น และมิได้เป็นการชี้นำ หรือเสนอแนะให้ซื้อหรือขายหลักทรัพย์ใดๆการตัดสินใจซื้อหรือขายหลักทรัพย์ใดๆ ของผู้อ่าน ไม่ว่าจะเกิดจากการอ่านบทความในเอกสารนี้หรือไม่ก็ตาม ล้วนเป็นผลจากการใช้วิจารณญาณของผู้อ่าน

Back to top button