AGE กวาดยอดขาย 1.05 ล้านตัน ดันกำไรไตรมาส 1 แตะ 41 ลบ.

AGE กวาดยอดขาย 1.05 ล้านตัน ดันกำไรไตรมาส 1 แตะ 41 ลบ.


นายพนม ควรสถาพร ประธานกรรมการบริหาร บริษัท เอเชีย กรีน เอนเนอจี จำกัด (มหาชน) หรือ AGE ผู้จัดจำหน่ายถ่านหินบิทูมินัส (ถ่านหินสะอาด) เปิดเผยถึงผลประกอบการงวดไตรมาส 1/2563 สิ้นสุดวันที่ 31 มีนาคม 2563 ว่า บริษัทฯ มีรายได้จากการขายและบริการ 2,046  ล้านบาท เพิ่มขึ้น 24%  เมื่อเทียบกับปีที่ผ่านมา

โดยแบ่งเป็นรายได้จากการขายถ่านหินที่ 1,951 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 27% เมื่อเทียบกับปีที่ผ่านมา รายได้จากธุรกิจให้บริการโลจิสติกส์ที่ 95.2 ล้านบาท ลดลง 13% เมื่อเทียบกับปีที่ผ่านมา และกำไรสุทธิ อยู่ที่ 41.2 ล้านบาท ลดลงจากเดียวกันของปีก่อน 49%

ทั้งนี้ เป็นผลมาจากการขยายตลาดทั้งในประเทศ และต่างประเทศอย่างต่อเนื่อง โดยจะเห็นได้จากปริมาณการขายในประเทศ อยู่ที่ 1 ล้านตัน เพิ่มขึ้น 52% เมื่อเทียบกับปีที่ผ่านมา ขณะที่ปริมาณการขายในต่างประเทศ อยู่ที่ 0.05 ล้านตัน เพิ่มขึ้น 114% เมื่อเทียบกับปีที่ผ่านมา ส่งผลให้ ณ สิ้นไตรมาส 1/2563 บริษัทฯ มีปริมาณการจำหน่ายถ่านหินรวมทั้งตลาดในประเทศและต่างประเทศ อยู่ที่ 1.05 ล้านตัน

สำหรับภาพรวมธุรกิจในไตรมาส 2/2563 นั้น ประธานกรรมการบริหาร AGE กล่าวเพิ่มว่า บริษัทฯ ยังคงประเมินสถานการณ์การแพร่ระบาดของไวรัส COVID-19 อย่างใกล้ชิด เนื่องจากต้องยอมรับว่าเหตุการณ์ดังกล่าวเป็นตัวแปรหลักที่สำคัญต่อการขับเคลื่อนเศรษฐกิจ และการลงทุน ดังนั้นบริษัทฯ ต้องวางกลยุทธ์แผนขยายการลงทุนอย่างระมัดระวังมากขึ้น ทั้งด้านธุรกิจโลจิสติกส์ และธุรกิจถ่านหิน ที่บริษัทฯ ยังดำเนินการลงทุนตามแผนยุทธ์ศาสตร์ที่วางไว้ โดยคำนึกถึงผลประโยชน์และความมั่นคงด้านอัตราการเติบโตของธุรกิจเป็นสำคัญ

โดยในปีนี้บริษัทฯ มุ่งเน้นการลงทุนเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการทำงานในคลังสินค้า และท่าเรือ รวมถึงเพิ่มความสามารถในการขนส่งสำหรับธุรกิจด้านโลจิสติกส์ทั้งทางบก และทางน้ำ โดยในปีนี้ มีเพิ่มการต่อเรือลำเลียงอีก 6 ลำ จากปัจจุบันอยู่ที่ 30 ลำ ส่งผลให้ในปีนี้บริษัทฯ จะมีเรือลำเลียงครบจำนวน 36 ลำ

พร้อมทั้งจะขยายการลงทุนไปยังรถบรรทุกเพื่อการขนส่ง อีกจำนวน 20 คัน จากปัจจุบันอยู่ที่ 35 คัน ซึ่งจะทำให้ในปีนี้จะมีรถบรรทุกทั้งหมดจำนวน 55 คัน

นอกจากนี้ บริษัทฯ ยังเตรียมพัฒนาพื้นที่ท่าเรือที่ 4 และโรงงานคัดแยกที่ 4 ในพื้นที่คลังสินค้าที่อำเภอนครหลวง จังหวัดพระนครศรีอยุธยา เพื่อเพิ่มความสามารถในการขนถ่ายสินค้าหน้าท่าเรือ และเพิ่มความสามารถในการคัดแยกสินค้า โดยคาดจะสามารถเริ่มใช้งานในช่วงต้นปี 2564

Back to top button