CPF เล็งออกหุ้นกู้ 5 ชุด ขายรายย่อย-สถาบัน ม.ค.64 ชูเรตติ้ง A+

CPF เล็งออกหุ้นกู้ 5 ชุด ขายรายย่อย-สถาบัน ม.ค.64 ชูเรตติ้ง A+


นายไพศาล จิระกิจเจริญ ประธานผู้บริหารฝ่ายการเงิน บริษัท เจริญโภคภัณฑ์อาหาร จำกัด (มหาชน) หรือ CPF เปิดเผยว่า บริษัทมีแผนงานในการออกและเสนอขายหุ้นกู้เพื่อชำระหนี้ที่ครบกำหนดในปี 2564 การออกหุ้นกู้ครั้งนี้จะมีการเสนอขายให้แก่ผู้ลงทุนทั่วไป รวมทั้งผู้ลงทุนสถาบัน และ/หรือ ผู้ลงทุนรายใหญ่

โดยบริษัทหวังว่าคนที่พลาดการลงทุนครั้งที่แล้วจะมีโอกาสเข้ามาจองซื้อในครั้งนี้ เงินที่ได้รับจากการเสนอขายหุ้นกู้ในครั้งนี้จะใช้คืนหนี้ที่ครบกำหนดและใช้เป็นเงินทุนหมุนเวียนรวมถึงเพื่อรองรับการขยายธุรกิจในอนาคต โดยหุ้นกู้ที่เสนอขายให้แก่ผู้ลงทุนทั่วไปมี 4 รุ่น คือ หุ้นกู้อายุ 5 ปี อัตราดอกเบี้ย 2.99% ต่อปี หุ้นกู้อายุ 7 ปี อัตราดอกเบี้ย 3.15% ต่อปี หุ้นกู้อายุ 10 ปี อัตราดอกเบี้ย 3.60% ต่อปี และหุ้นกู้อายุ 12 ปี อัตราดอกเบี้ย 3.80% ต่อปี

สำหรับหุ้นกู้อายุ 2 ปีเป็นรุ่นที่จำหน่ายให้กับผู้ลงทุนสถาบัน และ/หรือผู้ลงทุนรายใหญ่ ทั้งนี้อัตราดอกเบี้ยที่แน่นอนของหุ้นกู้อายุ 2 ปีจะทำการแจ้งให้ทราบอีกครั้ง  หุ้นกู้ทั้งหมดชำระดอกเบี้ยทุก 6 เดือน คาดว่าจะเสนอขายให้ผู้ลงทุนภายในเดือนมกราคม 2564 โดยหุ้นกู้ฯ ดังกล่าวได้รับการจัดอันดับความน่าเชื่อถือจากบริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด เมื่อวันที่ 8 ธันวาคม 2563 ที่ A+ ซึ่งสะท้อนถึงความเป็นผู้นำของบริษัทในธุรกิจเกษตรอุตสาหกรรมและอาหารและการมีฐานะการเงินที่แข็งแกร่งของบริษัทได้เป็นอย่างดี

“ซีพีเอฟ” เป็นผู้ผลิตด้านเกษตรอุตสาหกรรมและอาหารครบวงจร (Feed-Farm-Food) ใน 17 ประเทศทั่วโลก โดยจำแนกประเภทธุรกิจหลักได้เป็น 3 ประเภท คือ 1.ธุรกิจอาหารสัตว์ (Feed) 2.ธุรกิจผลผลิตจากการเลี้ยงสัตว์และแปรรูปเนื้อสัตว์ (Farm and Processing) และ 3.ธุรกิจอาหาร (Food) ด้วยวิสัยทัศน์ที่มุ่งสู่การเป็น “ครัวของโลก” ซีพีเอฟจึงได้ขยายธุรกิจไปยังประเทศต่างๆ เพื่อส่งเสริมการเลี้ยงสัตว์ที่ทันสมัย สนับสนุนการผลิตและการแปรรูปเนื้อสัตว์อย่างมีคุณภาพ ขยายการผลิตอาหารพร้อมรับประทานเพื่อให้สอดคล้องกับพฤติกรรมผู้บริโภคที่เปลี่ยนแปลงไป ตลอดจนเพิ่มมูลค่าให้กับธุรกิจ

รวมไปถึงการคิดค้นนวัตกรรมด้านเกษตรอุตสาหกรรมและอาหารอย่างต่อเนื่อง เพื่อให้ได้มาซึ่งระบบการผลิตที่ปลอดภัย  มีสินค้าที่สามารถตอบสนองความพึงพอใจและพฤติกรรมของผู้บริโภคทั่วโลกที่เปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลาได้ และยังให้ความสำคัญในการใช้ทรัพยากรอย่างเหมาะสมและเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมเพื่อยกระดับขีดความสามารถในการแข่งขันในระดับแนวหน้าของอุตสาหกรรม และสร้างผลตอบแทนให้แก่ผู้ถือหุ้นอย่างเหมาะสมด้วยความใส่ใจในผู้มีส่วนได้เสียทุกภาคส่วน

“ซีพีเอฟ” มีความแข็งแกร่งทางด้านฐานะการเงิน โดยผลประกอบการงวด 9 เดือน ปี 2563  บริษัทฯ มีรายได้จากการขาย 439,745 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 12% จากงวดเดียวกันของปีก่อน เป็นผลมาจากราคาสุกรในภูมิภาคเอเชียปรับตัวสูงขึ้นจากภาวะขาดแคลนสุกรเนื่องจากการระบาดของโรค ASF และมีกำไรสุทธิ 19,614 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 36% จากงวดเดียวกันของปีก่อนที่มีกำไรสุทธิ 14,445 ล้านบาท

สำหรับผลการดำเนินงานของซีพีเอฟในปี 2564 นั้น บริษัทคาดว่าผลการดำเนินงานยังคงดีอย่างต่อเนื่องจากปีนี้จากการลงทุนในธุรกิจสุกรในประเทศจีนและแคนาดาที่มีแนวโน้มเติบโต และประเทศเวียดนามที่มีการลงทุนในธุรกิจไก่ครบวงจรเพื่อส่งออกซึ่งจะเริ่มดำเนินการในปีหน้า   รวมทั้งการลงทุนด้านนวัตกรรมเพื่อเพิ่มมูลค่าสินค้าและพัฒนาประสิทธิภาพการผลิต อันจะส่งผลให้บริษัทมีความสามารถในการแข่งขันที่ดีขึ้นด้วยต้นทุนที่ต่ำลง จึงมั่นใจว่าผลการดำเนินงานจะยังดีต่อเนื่องและฐานะการเงินแข็งแกร่งขึ้น

นอกจากนี้ ในช่วงสถานการณ์โควิด-19 บริษัทฯ ยังสามารถบริหารจัดการธุรกิจท่ามกลางวิกฤตได้อย่างโดดเด่น เพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันและก่อเกิดความสำเร็จที่สำคัญ พร้อมๆ ไปกับการช่วยเหลือสังคม ซึ่งเห็นได้อย่างชัดเจนจากโครงการส่งอาหารจากใจร่วมต้านภัยโควิด-19 รวมถึงสามารถป้องกันโควิด-19 ในกลุ่มพนักงานของบริษัทฯ ได้เป็นอย่างดี ส่งผลให้สายพานการผลิตของบริษัทฯ เดินต่อได้โดยไม่สะดุด ไม่ก่อให้เกิดปัญหาการขาดแคลนอาหาร

ขณะเดียวกัน ซีพีเอฟยังร่วมฟื้นฟูและขับเคลื่อนเศรษฐกิจของประเทศ ด้วยการให้ความช่วยเหลือแก่ผู้ประกอบการขนาดย่อม หรือ SMEs รวม 6,000 ราย ผ่านโครงการ F.T.I.  Faster Payment ด้วยการปรับลดระยะเวลาเครดิตเทอมลงเหลือไม่เกิน 30  วัน เพื่อช่วยเสริมสภาพคล่องผู้ประกอบการรายย่อย  และยังให้ความร่วมมือกับภาครัฐจ้างงานแรงงานจบใหม่เพิ่มอีกถึง 8,000 อัตรา เพื่อผลักดันเศรษฐกิจไทยให้เดินหน้าอย่างไม่สะดุด ก้าวข้ามวิกฤติโควิด-19 ได้อย่างมั่นคง  และเพื่อสร้างรากฐานอันแข็งแกร่งต่อระบบเศรษฐกิจ

สถาบันการเงินผู้จัดจำหน่าย มั่นใจว่า หุ้นกู้ฯ “ซีพีเอฟ” ที่จะเสนอขายภายในเดือนมกราคม 2564 จะได้รับการตอบรับที่ดีจากผู้ลงทุนเหมือนเช่นทุกครั้งที่ผ่านมา โดยเฉพาะในช่วงเวลาที่ผู้ลงทุนมองหาการลงทุนในสินทรัพย์มั่นคงที่ให้ผลตอบแทนที่น่าพอใจ  ซึ่งหุ้นกู้ฯ  “ซีพีเอฟ” สามารถตอบสนองความต้องการของผู้ลงทุนได้เป็นอย่างดี ไม่ว่าจะเป็นผลประกอบการและฐานะการเงินที่แข็งแกร่ง โอกาสการเติบโตของอุตสาหกรรมอาหารในตลาดโลกที่ “ซีพีเอฟ” ยังคงความเป็นผู้นำในอุตสาหกรรมนี้ได้อย่างเข้มแข็ง รวมถึงการดำเนินธุรกิจอย่างยั่งยืน

สำหรับผู้ลงทุนที่สนใจจองซื้อหุ้นกู้ CPF สามารถจองซื้อขั้นต่ำ 100,000 บาท และทวีคูณ 100,000 บาท โดยศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ www.sec.or.th หรือติดต่อผ่านสถาบันการเงินซึ่งเป็นผู้จัดการการจำหน่าย

 

สำหรับหุ้นกู้ที่เสนอขายให้แก่ผู้ลงทุนทั่วไป ติดต่อ

ธนาคารกรุงไทย จำกัด (มหาชน) โทร.02-111-1111

ธนาคารกสิกรไทย จำกัด (มหาชน) โทร.02-888-8888 กด 819

ธนาคารไทยพาณิชย์ จำกัด (มหาชน) โทร.02-777-6784

ธนาคารออมสิน โทร.02-299-9245-6 (เปิดจองซื้อเฉพาะนักลงทุนรายใหญ่และที่สำนักงานใหญ่เท่านั้น)

ธนาคารซีไอเอ็มบี ไทย จำกัด (มหาชน) โทร.02-626-7777

ธนาคารทหารไทย จำกัด (มหาชน) โทร. 1558 กด#9

บริษัทหลักทรัพย์ เกียรตินาคินภัทร จำกัด (มหาชน) ผ่าน ธนาคารเกียรตินาคินภัทร จำกัด (มหาชน) โทร. 02 165 5555

 

สำหรับหุ้นกู้ที่เสนอขายให้แก่ผู้ลงทุนสถาบัน และ/หรือ ผู้ลงทุนรายใหญ่ ติดต่อ

ธนาคารกรุงไทย จำกัด (มหาชน) โทร.02-111-1111

ธนาคารกสิกรไทย จำกัด (มหาชน) โทร.02-888-8888 กด 819

ธนาคารไทยพาณิชย์ จำกัด (มหาชน) โทร.02-777-6784

ธนาคารออมสิน โทร.02-299-9245-6 (เปิดจองซื้อที่สำนักงานใหญ่เท่านั้น)

Back to top button