FA “มาสเตอร์คูล” มั่นใจพรุ่งนี้เทรดคึกคัก-ยืนเหนือจอง 1.80 บ.

“มาสเตอร์คูล” หรือ KOOL พร้อมเทรดวันแรกพรุ่งนี้ FA มั่นใจยืนเหนือจอง 1.80 บ.


นายนพชัย วีระมาน กรรมการผู้จัดการ บริษัท มาสเตอร์คูล อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด (มหาชน) หรือ KOOL เปิดเผยว่า บริษัทมีความเชื่อมั่นว่าเมื่อหุ้น KOOL ที่จะเข้าซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์ เอ็ม เอ ไอ ในวันที่ 23 ก.ย.58 จะได้รับการตอบรับอย่างคึกคัก และสามารถสร้างผลตอบแทนที่ดีให้กับนักลงทุนที่จองซื้อหุ้น โดยที่ผ่านมากระแสตอบรับในช่วงเปิดขายหุ้นให้กับประชาชนเป็นครั้งแรก (IPO) ได้รับความสนใจเป็นอย่างมาก

เนื่องจากนักลงทุนเชื่อมั่นในอนาคตธุรกิจของ KOOL จะขยายตัวได้อีกมาก เพราะบริษัทดำเนินธุรกิจด้านการจัดหาและจำหน่ายผลิตภัณฑ์ทำความเย็น อาทิ พัดลมไอเย็น พัดลมไอน้ำ และพัดลมอุตสาหกรรม โดยเฉพาะพัดลมไอเย็นที่ถือว่าเป็นสินค้าใหม่ที่เปิดตัวได้ไม่นาน ซึ่งสามารถเข้ามาเป็นตัวเลือกในการทำความเย็นเพิ่มขึ้น จากเดิมที่มีเพียง แอร์ และพัดลม และหลังจากที่ได้เงิน IPO แล้ว ก็จะช่วยให้พัฒนาสินค้าให้มีความหลากหลาย และเข้าถึงลูกค้าได้ทุกกลุ่มเป้าหมายมากขึ้น

“หลังจากที่ได้เงินจากการระดมทุนเข้ามา เราจะนำไปใช้ขยายคลังสินค้า เพื่อรองรับการผลิตสินค้าที่เพิ่มมากขึ้นตามความต้องการของลูกค้า และนำไปใช้ในการพัฒนาตัวสินค้าให้มีความทันสมัย และมีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น นอกจากนี้ก็จะนำมาเป็นเงินทุนหมุนเวียนในการทำธุรกิจ โดยเงินที่ได้จากการขายหุ้น IPO 120 ล้านหุ้น ราคาหุ้นละ1.80 บาท จะทำให้ได้เงินมาประมาณ 216 ล้านบาทจะนำไปการขยายธุรกิจทั้งหมดเพื่อขยายฐานลูกค้าทั้งในประเทศและต่างประเทศ โดยไม่มีการแบ่งไปชำระหนี้แต่อย่างใด เพราะบริษัทไม่มีหนี้สินระยะยาว” นายนพชัย กล่าวในที่สุด

ด้านนางสาวสุธางค์ คนศิลป กรรมการผู้จัดการ บล.ทรีนีตี้ ในฐานะที่ปรึกษาทางการเงินและผู้จัดการการจัดจำหน่ายและรับประกันการจำหน่ายหุ้นสามัญเพิ่มทุน KOOL กล่าวว่า มั่นใจว่าราคาหุ้น KOOL ในการซื้อขายวันแรกจะสามารถยืนเหนือราคาจองซื้อที่ 1.80 บาท

เนื่องจากช่วงที่เปิดให้จองซื้อหุ้นปรากฎว่ามีนักลงทุนตอบรับดีเกินคาด คาดว่าส่วนหนึ่งเป็นเพราะการกำหนดราคา IPO ที่เหมาะสม และมีส่วนลดให้สูงถึง 45% เมื่อเปรียบเทียบกับ PER ของตลาดหลักทรัพย์ mai โดยคำนวณจากกำไรสุทธิต่อหุ้นจากผลกำไรสุทธิของบริษัทในช่วง 4 ไตรมาสล่าสุด ถือเป็นราคาที่นักลงทุนสนใจอย่างมาก

ประกอบกับ KOOL เป็นหุ้นที่มีปัจจัยพื้นฐานดี สามารถทำตลาดได้ทั้งในและต่างประเทศเกือบ 40 ประเทศ โดยยอดขายเติบโตควบคู่กันทุกปี โดยที่ 3 ปีที่ผ่านมารายได้เติบโตเฉลี่ยปีละกว่า 40% ขณะที่ 6 เดือนแรกของปีนี้รายได้เติบโตขึ้นประมาณ 40% และในส่วนของตลาดต่างประเทศนั้นล่าสุดมีสัดส่วนรายได้ที่ประมาณ 14%

            

Back to top button