HFT ขาขึ้นรอบใหม่! บวกแรง 6% ลุ้นผลงานปีนี้กำไรนิวไฮ-รายได้โตเข้าเป้า 3.2 พันลบ.

HFT ขาขึ้นรอบใหม่! บวกแรง 6% ลุ้นผลงานปีนี้กำไรนิวไฮ-รายได้โตเข้าเป้า 3.2 พันลบ.ทุ่มงบลงทุนปี 64-65 กว่า 600 ล้านบาท


ผู้สื่อข่าวรายงานว่า วันนี้(25 มิ.ย.2564) ราคาหุ้นบริษัท ฮั้วฟง รับเบอร์ (ไทยแลนด์) จำกัด (มหาชน) หรือ HFT ณ 11.15 น. เวลา อยู่ที่ระดับ 7.40 บาท บวก 0.40 บาท หรือ 5.71%  ด้วยมูลค่าซื้อขาย 107.05 ล้านบาท

โดยก่อนหน้านี้นายจวง จื้อ เหยา (Mr.Chuang chih yao) รองประธาน (Vice president) และกรรมการผู้มีอำนาจลงนาม HFT ได้ให้สัมภาษณ์พิเศษกับ “ข่าวหุ้นธุรกิจ” ว่า ผลการดำเนินงานของบริษัทเป็นไปตามเป้าหมาย และมีโอกาสที่จะสร้างการเติบโตได้ดีกว่าเป้าหมายที่วางไว้ทั้งปี 2564 แม้สถานการณ์ COVID-19 จะยังไม่แน่นอน รวมถึงวัคซีนป้องกัน COVID-19

โดยนับตั้งแต่ปี 2563 ที่เกิดการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัส COVID-19 บริษัทมีมาตรการควบคุมการติดเชื้อของบุคลากรและพนักงานในโรงงาน 2 แห่ง อย่างเข้มงวด ซึ่งยังคงมีประวัติการติดเชื้อเป็นศูนย์มาจนถึงปัจจุบัน สะท้อนได้จากผลการดำเนินงานโดยรวมที่ออกมาดี และได้รับผลกระทบน้อยในวิกฤตครั้งนี้

ขณะที่การตัดสินใจเดินเครื่องจักรผลิตไว้ปกติเท่าเดิม แม้เศรษฐกิจหยุดชะงักลง แต่ HFT กล้าสต๊อกสินค้าไว้รองรับตลาดที่จะกลับมาฟื้นตัว โดยสะท้อนให้เห็นสภาพคล่องที่แข็งแกร่งมาก ด้วยกระแสเงินสด ณ ปัจจุบันที่มีอยู่ประมาณ 900-1,000 ล้านบาท จนกระทั่งครึ่งปีหลังของปี 2563 สถานการณ์ COVID-19 เริ่มดีขึ้น บวกกับตลาดจักรยานและจักรยานยนต์กลับมาขยายตัวบนสภาวะตลาดมีซัพพลายหายไปมาก ซึ่ง HFT มีสต๊อกป้อนตลาดสร้างยอดขายเข้าพอร์ตได้ทันที ต่างจากผู้ผลิตรายอื่น หรือคู่แข่งทางธุรกิจมีการหยุดไลน์การผลิตไปในช่วงดังกล่าว

สำหรับในปี 2564 เป็นอีกปีที่ยังทำอะไรไม่ได้มาก เนื่องจากตัวเลขการติดเชื้อไวรัส COVID-19 ระลอกใหม่ยังสูง และปัจจุบันวัคซีนป้องกัน COVID-19 ที่ยังไม่ครอบคลุม แต่ทิศทางของผลการดำเนินงานของ HFT ในช่วงไตรมาส 2/2564 ค่อนข้างออกมาดีกว่าเมื่อเทียบกับไตรมาส 1/2564 และเทียบกับไตรมาส 2/2563 แม้จะเป็นช่วงโลว์ซีซั่นของธุรกิจ HFT ซึ่งสอดคล้องกับอัตราการเดินเครื่องจักรผลิตเฉลี่ยสูง 95-100% และคงที่ในระดับสูงจนถึงสิ้นปีหลังมีคำสั่งซื้อ (Order) แน่นยาวไปจนถึงไตรมาส 2/2565 แล้ว บวกกับเข้าช่วงไฮซีซั่นของธุรกิจ HFT ในช่วงครึ่งปีหลังของปี 2564

ดังนั้นปี 2564 ยังคงเป้าหมายรายได้รวม 3,200 ล้านบาท ทำสถิติสูงสุดใหม่ (นิวไฮ) จากปี 2563 ที่มีรายได้รวม 2,674.38 ล้านบาท และมีกำไรสุทธินิวไฮจากปี 2563 ที่มีกำไรสุทธิ 412.62 ล้านบาท เชื่อว่าจะมีโอกาสทำได้ตามเป้าหมายแน่นอน ตามการฟื้นตัวของตลาดไทยที่มีสัดส่วนกว่า 45% ของพอร์ตรวม ส่วนตลาดส่งออกไม่มีปัญหาเรื่องตู้คอนเทนเนอร์ และค่าระวางปรับตัวลงเยอะมากแล้ว เมื่อเทียบกับช่วงไตรมาส 1/2564 ซึ่งมองว่าตลาดประเทศเวียดนามค่อนข้างขยายตัวแรง และมีโอกาสเข้าไปเติบโต ส่วนตลาดประเทศอื่น ๆ ยังปกติดี

ขณะเดียวกัน มีแผนใช้ประโยชน์ช่องทางการขาย และฐานคู่ค้าที่มีอยู่ทุกจังหวัด ขยายผลิตภัณฑ์นอกเหนือจากผลิตภัณฑ์ HFT เช่น แบตเตอรี่ ยางมอเตอร์ไซค์ และโซ่-สเตอร์ เป็นต้น โดยมองว่าจะได้ประโยชน์จากระบบโลจิสติกส์ไทยที่ดีขึ้นมาก ๆ แล้ว ทำให้ไม่ต้องลงทุนจำนวนมาก

นายจวง จื้อ เหยา กล่าวต่อว่า การลงทุนในช่วง 2 ปีนี้ (ปี 2564-2565) จะใช้งบลงทุนอยู่ที่ประมาณ 600 ล้านบาท โดยในปี 2564 จะใช้งบลงทุนเครื่องจักรใหม่ไม่เกิน 200 ล้านบาท และในปี 2565 ไม่เกิน 400 ล้านบาท เพื่อลงทุนเครื่องจักรเทคโนโลยีขั้นสูง (ไฮเทค) ของโรงงาน 1 และ 2 ให้เต็ม 100% เพราะได้รับการส่งเสริมการลงทุนจากสำนักงานส่งเสริมการลงทุน (BOI) ยกเว้นภาษีที่ปกติจ่ายกว่าหลักร้อยล้านบาท ซึ่งเงินส่วนนี้จะนำมาหักล้างต้นทุนเครื่องจักรแทนคาดสามารถคืนทุนภายใน 6 ปี

ขณะที่ในส่วนของที่ดินเปล่าที่เตรียมไว้รองรับการลงทุนโรงงานแห่งที่ 3 นั้น HFT มีแผนปรับเปลี่ยนไปเป็นสร้างคลังสินค้าแทน เพื่อให้มีพื้นที่รองรับออเดอร์ที่ขยายตัว จากเดิมมีคลังร่วมกับพื้นที่โรงงาน 30% ด้านตลาดยานยนต์ไฟฟ้า (EV) ปัจจุบันมีพันธมิตรที่แข็งแกร่งในตลาดยุโรปพร้อมร่วมมือขยายตลาดด้วยกัน และยังมีแผนขยายการลงทุนสถานีชาร์จไฟฟ้าด้วยในอนาคต

ส่วนธุรกิจใหม่ที่มีโอกาสเติบโต อย่างกัญชา-กัญชง ได้มีการขอใบอนุญาตจำหน่ายผลิตภัณฑ์กับทางสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) หากอนุมัติพร้อมผลิตทันที คาดปี 2565 จะเริ่มวางจำหน่ายทดลองตลาดได้

นายจวง จื้อ เหยา กล่าวเพิ่มว่า HFT จะมุ่งสู่การเป็นผู้นำในการผลิตและจำหน่ายผลิตภัณฑ์ยางนอกและยางในทั่วทั้งภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ด้วยตัวเอง โดยไม่มีการเข้าควบรวม หรือซื้อกิจการ (M&A) ทั้งการขยายส่วนแบ่งการตลาด (มาร์เก็ตแชร์) ในประเทศระยะ 2 ปีข้างหน้า (ปี 2565-2566) ให้แข็งแกร่งยั่งยืน เพราะเป็นตลาดขนาดใหญ่อันดับ 6 ของโลก และตลาดต่างประเทศให้มากกว่าเดิม โดยเฉพาะเวียดนามที่มีตลาดขนาดใหญ่อันดับ 5 ของโลก อินโดนีเซีย ที่มีตลาดขนาดใหญ่อันดับ 3 ของโลก ฟิลิปปินส์ เมียนมา และอื่น ๆ ซึ่งจะเน้นแต่งตั้งตัวแทนจำหน่ายทั้งหมด เบื้องต้นประเมินปี 2566 ฐานรายได้รวมจะปรับตัวแตะระดับ 6,000 ล้านบาท

นอกจากนี้ ในระยะ 3 ปีข้างหน้า (ปี 2565-2567) ยังมีความมุ่งมั่นที่จะเข้าไปตั้งฐานผลิตในประเทศปากีสถาน ที่มีตลาดขนาดใหญ่อันดับ 4 ของโลก เนื่องจากคู่แข่งยังไม่ได้เข้าไปเจาะตลาด เพราะเข้าไปได้ค่อนข้างยากในเชิงของการลงทุน แต่ด้วยศักยภาพของ HFT ที่มีมานานมากกว่า 30 ปี จะสามารถเข้าไปวางรากฐานสร้างการเติบโตได้ดี เบื้องต้นคาดหวังไว้หลักพันล้านบาท ซึ่งแน่นอนว่าแตกต่างจากตลาดประเทศอินเดียที่มีตลาดขนาดใหญ่อันดับ 2 ของโลก และประเทศจีน ที่มีตลาดขนาดใหญ่อันดับ 1 ของโลก แต่มีการแข่งขันดัมพ์ราคาจนต่ำมาก และคู่แข่งมีหลายราย

ด้านทิศทางการขยายตัวและเทรนด์อุตสาหกรรมจักรยาน HFT ประเมินว่า ตลาดจะขยายตัวแรง จำนวนเส้นยางเพิ่มขึ้น จำนวนมูลค่าเงินเพิ่มขึ้น และขยายตัวเฉลี่ย 15% ต่อปี ส่วนอุตสาหกรรมจักรยานยนต์ ประเมินว่าตลาดจะไม่ขยายตัวมาก จำนวนเส้นยางจะทรงตัว แต่จะมีจำนวนมูลค่าเงินมากขึ้น อย่างไรก็ดี HFT จะมุ่งหน้าพัฒนาคุณภาพสินค้าให้แข่งขันในตลาดระยะยาว ทั้งจุดขายและราคา รวมไปถึงการมีประสิทธิภาพที่เพิ่มขึ้นจากการลงทุนเครื่องจักรคุณภาพสูง ผลิตได้หลากหลาย รวดเร็ว และส่งมอบตรงเวลา

 

 

Back to top button