GPSC พุ่ง 4% โบรกชี้ “ลมไต้หวัน-โซลาร์อินเดีย” หนุนรายได้โต – มูลค่าหุ้นเพิ่ม 4 บ.

GPSC พุ่ง 4% แตะ 82.50 บาท โบรกชี้ วินด์ฟาร์มไต้หวัน และโซลาร์ฟาร์มอินเดีย จะช่วยต่อยอดฐานกำไรในระยะยาวในธุรกิจโรงไฟฟ้า หนุนอัพไซด์ต่อประมาณการกำไรประมาณ 5-10% ในช่วง 10 ปีแรก และเป็นอัพไซด์ต่อราคาเป้าหมาย 4 บาท


ผู้สื่อข่าวรายงานว่า วันนี้ (16 ก.ค. 64) ราคาหุ้นบริษัท โกลบอล เพาเวอร์ ซินเนอร์ยี่ จำกัด (มหาชน) หรือ GPSC ณ เวลา 11.21 น. อยู่ที่ระดับ 82.50 บาท เพิ่มขึ้น 3.50 บาท หรือ 4.43% โดยทำจุดสูงสุดที่ 83.50 บาท และทำจุดต่ำสุดที่ 78.50 บาท ด้วยมูลค่าการซื้อขาย 3,351 ล้านบาท

บริษัทหลักทรัพย์ บัวหลวง จำกัด (มหาชน) ระบุว่า GPSC จะเข้าลงทุนถือหุ้น 25% ในโครงการโรงไฟฟ้าพลังงานลมนอกชายฝั่งในไต้หวัน กำลังผลิตรวม 595 เมกะวัตต์ ด้วยเงินลงทุน 500 ล้านเหรียญสหรัฐ ซึ่งธุรกรรมดังกล่าวคิดเป็นเงินลงทุนต่อเมกะวัตต์ 3.4 ล้านเหรียญสหรัฐ ซึ่งถือว่าใกล้เคียงกับธุรกรรมการเข้าซื้อโครงการพลังงานลมนอกชายฝั่งในไต้หวันของบริษัทอื่น ๆ ในช่วงที่ผ่านมา

ทั้งนี้ บริษัทเป้าหมายที่จะเข้าซื้อ มีกำลังผลิตที่จะเริ่มดำเนินการในปี 2565 ทั้งสิ้น 96 เมกะวัตต์ และเริ่มดำเนินการในปี 2566 ทั้งสิ้น 499 เมกะวัตต์ โดยขายไฟฟ้าให้แก่บริษัท Taiwan Power Company (รัฐวิสาหกิจที่ถือหุ้นโดยรัฐบาลไต้หวัน) โดยมี PPA ระยะเวลา 20 ปี ในรูปแบบ FiTเบื้องต้นคาดว่าโครงการดังกล่าวจะมี FiTแบบ front-end load (ค่าไฟฟ้าสูงในช่วง 10 ปีแรก และลดลงในช่วง 10 ปีหลัง) โดยคาดว่าการลงทุนดังกล่าวเป็นอัพไซด์ต่อประมาณการกำไร (ในช่วง 10 ปีแรก) ประมาณ 5-10% และเป็นอัพไซด์ต่อราคาเป้าหมาย 4 บาท อย่างไรก็ตามคาดว่า GPSC ยังไม่มีความจำเป็นต้องเพิ่มทุน และยังเหลือ investment capacity สำหรับโครงการอื่น ๆ ในอนาคต

ดังนั้น คาดว่าดีลดังกล่าวจะส่งผลบวกต่อราคาหุ้น GPSC ในด้านกำไรที่เพิ่มขึ้น และในมุมมองของสัดส่วนพลังงานทดแทนที่เพิ่มขึ้น (จะส่งผลให้นักลงทุนที่มุ่งเน้นการลงทุนในธุรกิจที่มีการปลดปล่อยมลภาวะต่ำ หันมาสนใจ GPSC มากขึ้น) จึงยังคงคำแนะนำ “ซื้อเก็งกำไร” ต่อหุ้น GPSC ด้วยราคาเป้าหมาย 95 บาท (ยังไม่รวมมูลค่าโครงการดังกล่าว)

ด้านบริษัทหลักทรัพย์ เอเซีย พลัส จำกัด ระบุว่า GPSC ประกาศเข้าซื้อหุ้น 41.6% Avaadaประเทศอินเดีย เพื่อลงทุนในโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ คาดเป็นการต่อยอดฐานกำไรในระยะยาวในธุรกิจโรงไฟฟ้า และช่วยต่อยอดความเชี่ยวชาญในการประกอบการผลิตกระแสไฟฟ้าจากพลังงานแสงอาทิตย์ อีกทั้งคาดทิศทางกำไรปกติงวดไตรมาส 2/2564 จะปรับตัวขึ้นต่อเนื่องจากไตรมาส 1/2564 จากรายได้ขายไฟฟ้าให้กับทางภาครัฐ ที่คาดจะเพิ่มขึ้น รวมถึงค่า K-Factor ในกลุ่มโรงไฟฟ้า SPP ที่คาดจะปรับเพิ่มขึ้นตามช่วงฤดูกาล จึงแนะนำ “ซื้อ” ขณะที่มูลค่าทางพื้นฐานอยู่ที่ 82 บาท/หุ้น มีอัพไซด์สูงประมาณ 10% ถือเป็นโอกาสสะสม

Back to top button