“ส.นักวิเคราะห์” ชู 4 หุ้นเด่นลงทุน Q4 ชี้เป้าดัชนีปี 65 แตะ 1,754 จุด

“ส.นักวิเคราะห์” ชู 4 หุ้นเด่นลงทุนไตรมาส 4 เน้นกลุ่มค้าปลีก-แบงก์-อสังหาฯ-โรงแรม รับฉีดวัคซีนคืบ-ศก.ฟื้น ชี้เป้าดัชนีปีนี้ 1,647 จุด ปี 65 แตะ 1,754 จุด


นายสมบัติ นราวุฒิชัย เลขาธิการ สมาคมนักวิเคราะห์การลงทุน เปิดเผยว่า ผลการสำรวจความเห็นสมาชิกนักวิเคราะห์และผู้จัดการกองทุน รวม 27 สำนัก เกี่ยวกับมุมมองการลงทุนในไตรมาส 4/2564 สรุปได้ดังนี้ นักวิเคราะห์ปรับลดสมมติฐานหลักด้านการขยายตัวของ GDP ไทยปี 2564 เฉลี่ยเหลือ 0.68% เทียบกับการสำรวจเมื่อกลางปีที่ 2.11% และคาดการณ์ว่าในปี 2565 จะเติบโตที่ 3.67%

ขณะที่เพิ่มสมมุติฐานด้านราคาน้ำมันดิบสูงขึ้นเป็น 68.54 เหรียญสหรัฐฯต่อบาร์เรล ตามการฟื้นตัวของเศรษฐกิจโลก ขณะที่ในครั้งก่อนใช้ตัวเลขเพียง 64.96 เหรียญสหรัฐฯต่อบาร์เรล

ส่วนทิศทางการลงทุนในไตรมาส 4 ปีนี้ มองว่าจะได้ผลบวกที่ชัดเจนมาจาก 2 ปัจจัยหลัก คือ แนวโน้มความคืบหน้าของการฉีดวัคซีนในไทย มีผู้โหวตท่วมท้น 96% ตามมาด้วย การฟื้นตัวของเศรษฐกิจโลก มีผู้โหวตสูงถึง 70%

ขณะที่ปัจจัยด้านลบมาจากท่าทีการเตรียมลดมาตรการ QE ทั่วโลก มีผู้โหวต 92% และ ตามติดมาด้วย ปัจจัยการเมืองในประเทศด้วยเสียงโหวต 85% แถมด้วย แนวโน้มการจะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยสหรัฐฯเร็วขึ้นกว่าคาดเดิมมีเสียงโหวต 63%  และคาดว่าอัตราดอกเบี้ยนโยบายของไทยน่าจะไม่เปลี่ยนแปลงตลอดปีนี้ และปีหน้า

ทางด้านผลกำไรต่อหุ้นของบริษัทจดทะเบียนปี 2564 เฉลี่ยที่ 82.08 บาทต่อหุ้น เป็นการเติบโต 69.50% จากปีก่อน และตัวเลขคาดการณ์ใหม่นี้ สูงขึ้นกว่าการสำรวจครั้งก่อนซึ่งอยู่ที่ 80.87 บาทต่อหุ้น ขณะที่ ข่าวดีอยู่ที่ปี 2565 ที่นักวิเคราะห์คาดว่า กำไรต่อหุ้นของบริษัทจดทะเบียนจะเพิ่มเป็น 92.49 บาทต่อหุ้น เติบโต 12.73%

อย่างไรก็ตามคาดการณ์ SET Index ในช่วงไตรมาส 4 ของปีนี้จะแกว่งตัวในกรอบ 1,565 ถึง 1,675 จุด และคาดว่าจะปิดสิ้นปี 2564 ที่ 1648 จุด และคาดการณ์ว่าสิ้นปี 2565 จะปิดที่ 1,754 จุด

โดยนักวิเคราะห์แนะนำให้กระจายพอร์ตการลงทุนแบ่งเป็นสัดส่วนดังนี้ (1.) เงินสดและเงินฝากระยะสั้น 12.20%,(2.)กองทุนตราสารหนี้ 16.80%,(3.) หุ้นไทยหรือกองทุนหุ้นไทย  28.80%,(4.) หุ้นหรือกองทุนหุ้นต่างประเทศ  25.88%,(5.) กองทุนอสังหาฯ หรือ REIT 8.04%,(6) ทองคำหรือกองทุนทองคำ 5.96% ,และอื่นๆ 2.32%

สำหรับการลงทุนหุ้นไทยในไตรมาส 4/2564 แนะนำให้เพิ่มน้ำหนักการลงทุน ในหมวดธุรกิจ พาณิชย์,ธนาคาร,อสังหาริมทรัพย์,โรงแรมและท่องเที่ยว ในขณะที่ให้ลดน้ำหนักการลงทุนใน หมวดธุรกิจพลังงาน, โรงพยาบาล และชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ โดยชูหุ้นเด่นที่แนะนำ คือ AOT,BEM,CPALL,KBANK ส่วนหุ้นที่แนะนำให้หลีกเลี่ยง คือ หุ้นชิ้นส่วนอิเล็กโทรนิกส์ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง บางบริษัทที่เคยวิ่งขึ้นกว่า 1,000% ในปีก่อน

โดยหุ้นเด่นทั้ง 4 ตัว ที่นักวิเคราะห์แนะนำคือ AOT,BEM,CPALL,KBANK  พบว่า มีจำนวนนักวิเคราะห์แนะนำตรงกันตั้งแต่ 5 สำนักขึ้นไป โดยบริษัท ท่าอากาศยานไทย จำกัด (มหาชน) หรือ AOT จะได้รับปัจจัยสนับสนุนจากการขยายสัญญาเช่าสนามบิน ลุ้นรายได้พาณิชย์ใหม่ จากการพัฒนาโครงการเชิงพาณิชย์ที่ดิน 700 ไร่ใกล้สุวรรณภูมิ ซึ่งสร้าง Upside และเสริมภาพการฟื้นตัวธุรกิจการบินในระยะกลาง-ยาว

ด้านบริษัท ทางด่วนและรถไฟฟ้ากรุงเทพ จำกัด (มหาชน) หรือ BEM คาดผลประกอบการไตรมาส 3/2564 เป็นจุดต่ำของปีนี้ แนวโน้มฟื้นตัวต่อเนื่องจากการทยอยเปิดเศรษฐกิจ แต่ทั้งนี้ราคาหุ้นยังฟื้นตัวช้า

ส่วนบริษัท ซีพี ออลล์ จำกัด (มหาชน) หรือ CPALL ได้ปัจจัยสนับสนุนจากปรับโครงสร้าง MAKRO เข้าถือหุ้นใน Lotus’s 100% และคาดว่าหลังสถานการณ์การแพร่ระบาดของ COVID-19 คลี่คลาย รวมถึงการกลับมาของนักท่องเที่ยว จะทาให้ผลประกอบการของ Lotus’s กลับมาฟื้นตัวได้อีกครั้ง

ด้านธนาคารกสิกรไทย จำกัด (มหาชน) หรือ KBANK คาดว่าสินเชื่อโตเกินเป้าจะทำให้กำไรดีกว่าคาด โดยปรับเพิ่มประมาณการกาไรปี 2565-2566 ขึ้นอีก 6% และ 3% พร้อมปรับเพิ่มราคาเป้าหมายปี 2565 เป็น 160 บาท

ทั้งนี้ท้ายสุดนักวิเคราะห์ยังได้เพิ่มเติมการแนะนำนโยบายที่จะมีผลบวกต่อภาวะเศรษฐกิจไปยังรัฐบาล ได้แก่ การเร่งฉีดวัคซีนที่มีประสิทธิภาพ เพื่อการเปิดเมือง การช่วยเหลือภาคธุรกิจการท่องเที่ยว และ สนับสนุนการผู้ประกอบการรายย่อย SMEs การให้สินเชื่อพิเศษ นอกจากนั้น ควรมีนโยบายให้การช่วยเหลือประชาชน พร้อมเป็นการกระตุ้นการจับจ่าย โดยให้สามารถนำไปลดหย่อนภาษีได้ รวมทั้งการให้สิทธิภาษีสนับสนุนการลงทุนใน LTF

Back to top button