2 โบรกฯ เชียร์ซื้อ DOHOME เล็งกำไร Q3 โตกว่าเท่าตัว รับยอดขายเพิ่ม

2 โบรกฯ เชียร์ซื้อ DOHOME คาดกำไรสุทธิไตรมาส 3/64 เติบโตจากยอดขายเพิ่มขึ้น จับตาไตรมาส 4/64 โตต่อ จากดีมานด์วัสดุก่อสร้างน่าจะฟื้นตัว หลังผ่านพ้นสถานการณ์น้ำท่วม


นายสุโชติ ถิรวรรณรัตน์ ผู้อำนวยการฝ่ายวิจัย บริษัทหลักทรัพย์ เคจีไอ (ประเทศไทย) ออกบทวิเคราะห์เกี่ยวกับหุ้นบริษัท ดูโฮม จำกัด (มหาชน) หรือ DOHOME คาดว่ากำไรสุทธิในไตรมาส 3/2564 คาดว่าจะเติบโต 156% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน มาอยู่ที่ 480 ล้านบาท แต่จะลดลง 20% เมื่อเทียบกับไตรมาสก่อนหน้า จากปัจจัยฤดูกาล หรือหน้าฝน และคาดว่ายอดขายจะอยู่ที่ 5.8 พันล้านบาท เติบโต 22% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน และลดลง 9% จากไตรมาสก่อนหน้า จากยอดขายต่อสาขาที่เพิ่มขึ้น 12% และสาขาใหม่ Size L 2 แห่ง, สาขาร้าน DOHOME To go ใหม่ 4 แห่ง

ทั้งนี้ ประเมินอัตรากำไรขั้นต้นจะอยู่ที่ 21.6% เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปีก่อน มาจากราคาเหล็กที่ปรับตัวขึ้น ขณะที่อัตรากำไรขั้นต้นลดลงจากไตรมาสก่อนหน้ามาจากส่วนผสมของผลิตภัณฑ์ (product mix) เนื่องจากมีการปิดสาขาร้านชั่วคราว แบ่งเป็น Size L 5 สาขาและ Dohome To Go อีก 7 สาขา ส่งผลให้อัตรากำไรขั้นต้นในงวด 9 เดือนอยู่ที่ 22.0% (เพิ่มขึ้น 6.4 เท่าจากช่วงเดียวกันของปีก่อน) ซึ่งดีกว่าสมมติฐานปีนี้ที่ 21.4%

ขณะที่ประเมินแนวโน้มผลการดำเนินงานไตรมาส 4/2564 ความต้องการหรือดีมานด์ของวัสดุก่อสร้างน่าจะฟื้นตัวกลับขึ้นมา หลังจากผ่านพ้นสถานการณ์น้ำท่วม ซึ่งน่าจะเห็นดีมานด์ของการซ่อมแซมบ้าน และอาจจะมีดีมานด์ในเรื่องของการรีโนเวท เพื่อเตรียมความพร้อมก่อนเปิดประเทศอีกรอบหนึ่ง จึงคาดว่ากำไรสุทธิไตรมาส 4/2564 ก็น่าจะดีกว่าไตรมาส 3/2564 อย่างไรก็ตาม ทางฝ่ายได้ปรับเพิ่มประมาณการกำไรสุทธิปี 2564-2565 ขึ้นอีกประมาณ 8% ทำให้กำไรสุทธิของ DOHOME จะโตอย่างมีนัยสำคัญถึง 147% จากปีก่อน และจะกลับมาโตในระดับปกติที่ 12% ในปี 2565

ส่วนทางด้านบริษัทหลักทรัพย์ เคทีบีเอสที ระบุในบทวิเคราะห์ว่า คาดกำไรสุทธิ DOHOME ในไตรมาส 3/2564 จะอยู่ที่ 450 ล้านบาท เติบโต 138.7% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน แต่ลดลง 25.2% จากไตรมาสก่อนหน้า ส่วนยอดขายคาดไว้ที่ 5.86 พันล้านบาท เพิ่มขึ้น 23% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน และลดลง 8% จากไตรมาส 2/2564 โดยการเพิ่มขึ้นจากปีก่อนมาจากสาขาที่เปิดเพิ่มขึ้น และสาขาเดิมที่คาดเติบโต 15% ส่วนยอดขายที่ลดลงไตรมาสก่อนหน้า ได้รับผลกระทบจากมาตรการล็อคดาวน์ของรัฐบาล ทำให้บริษัทต้องปิดหน้าร้าน Dohome size L 2 สาขา ได้แก่ สาขาพระราม 2 และเพชรเกษม และ Dohome Togo 7 สาขา นอกจากนี้ยังมีบางสาขาที่ต้องปิดแบบ partial close ปิดโซนเฟอร์นิเจอร์ และเครื่องใช้ไฟฟ้า ได้แก่ สาขารังสิต บางบัวทอง และแหลมฉบัง

ทั้งนี้ อัตรากำไรขั้นต้นในไตรมาส 3/64 คาดอยู่ที่ 20.2% จากราคาเหล็กที่สูงขึ้น (ดัชนีราคาเหล็กเพิ่มขึ้น 36% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน แต่ลดลง 2% จากไตรมาสก่อนหน้า จากผลกระทบของล็อคดาวน์ ซึ่งทำให้ Product Mix เปลี่ยนไป โดยขายสินค้า High Margin อย่างเฟอร์นิเจอร์ และเครื่องใช้ไฟฟ้าได้น้อยลง

สำหรับไตรมาส 4/64  คาดว่าผลประกอบการจะฟื้นตัว เนื่องจากหลังสถานการณ์น้ำท่วมคลี่คลาย คาดจะมี Demand ของการตกแต่งซ่อมแซมที่พักอาศัยมากขึ้น และการเปิดสาขาเพิ่มอีก 2 สาขายังเป็นไปตามแผน ได้แก่ สาขาชลบุรี อมตะนคร (เดือน พ.ย.64) และสุราษฎร์ธานี (เดือน ธ.ค.64) ซึ่งจะช่วยหนุนยอดขายให้เติบโตต่อเนื่อง รวมถึงคาด margin จะปรับตัวดีขึ้นหลังกลับมาเปิดทุกสาขาตามปกติ และราคาเหล็กเริ่มปรับตัวขึ้น

โดยคงประมาณการกำไรสุทธิปี 2564 ที่ 2.03 พันล้านบาท เติบโต 180% จากปีก่อน และคาดสาขาเดิมทั้งปีเติบโตได้ 18% จากปีก่อน แม้ไตรมาส 3/2564 จะได้รับผลกระทบจากโควิด-19 แต่คาดจะฟื้นตัวได้ในไตรมาส 4/2564 หลังรัฐบาลเร่งการฉีดวัคซีน และคลายมาตรการล็อคดาวน์ รวมถึงการเปิดสาขาใหม่อีก 2 สาขา นอกจากนี้ยังคงกำไรสุทธิปี 65 ที่ 2.25 พันล้านบาท เติบโต 11% จากปี 2564 หลักๆ มาจากการขยายสาขาอีก 5 สาขา และการปรับกลยุทธ์ให้มีอัตรากำไรขั้นต้นเติบโตได้อย่างยั่งยืน

สำหรับแนวโน้มในไตรมาส 4/64 คาดยอดขายจะฟื้นตัวขึ้นอย่างชัดเจน ซึ่งเป็นผลจากการซ่อมแซมหลังน้ำท่วม พร้อมกับการเข้าสู่ช่วงฤดูกาลซื้ออีกครั้ง ที่จะมีความต่อเนื่องไปยังไตรมาส 1/65 ทั้งนี้ยอดขายยังคงได้ปัจจัยหนุนจากงบประมาณภาครัฐที่ช่วยสร้างงานโดยเฉพาะในต่างจังหวัด ขณะที่คาดมีงบประมาณใหม่เพิ่ม เช่น งบประมาณป้องกันน้ำท่วม ในเบื้องต้นสาขาเดิมของปี 2564 คาดเป็นบวกราว 17-20% จากปีก่อน

อย่างไรก็ดี ทั้งปีมองว่าผลประกอบการโดยรวมยังคงเติบโต ซึ่งเป็นผลจากมาร์จิ้นและรายได้ที่ทำได้ดีขึ้นจากสาขาใหม่และบริหารจัดการสินค้า โดยประเมินเบื้องต้น DOHOME จะมีกำไรปกติไตรมาส 3/2564 ราว 400-450 ล้านบาท เติบโตราว 100-140% จากปีก่อน และมีรายได้ราว 5.9-6 พันล้านบาท เติบโต 26-28% จากปีก่อน และมาร์จิ้น 19.5-20% ลดลงจากไตรมาส 2/64 แต่สูงกว่าไตรมาส 3/2563 ที่ทำได้เพียง 16.8% สะท้อนถึงการเพิ่มขึ้นของระดับมาร์จิ้นของสินค้าทั้งส่วนที่เป็น House Brand และ Non-House brand รวมถึงราคาเหล็กที่เพิ่มขึ้น ขณะที่ยอดขายจากสาขาใหม่ เช่น สาขา จ.สุรินทร์, แหลมฉบัง จ.ชลบุรี ,มาบตาพุด จ. ระยอง และสาขา บ่อวิน จ.ชลบุรี ยังทำได้ดีต่อเนื่อง

Back to top button