COTTO ร่วง 3% โบรกฯ แนะ “ขาย” หวั่นกำไร Q3 หดตัว เซ่นล็อคดาวน์

COTTO ร่วง 3% โบรกฯแนะ “ขาย”  คาดกำไรไตรมาส 3/64 หดตัว 20% หลังผลกระทบจากล็อกดาวน์ทำยอดขายลดลงและต้นทุนก๊าซที่เพิ่มขึ้น


ผู้สื่อข่าวรายงานว่าวันนี้ (21 ต.ค. 2564) ราคาหุ้น บริษัท เอสซีจี เซรามิกส์ จำกัด (มหาชน) หรือ COTTO ปิดภาคเช้า อยู่ที่ระดับ 2.72 บาท ลดลง 0.08 บาท หรือ 2.86% โดยทำจุดสูงสุดที่ 2.86 บาท และทำจุดต่ำสุดที่ 2.68 บาท ด้วยมูลค่าการซื้อขาย 354.29 ล้านบาท

บริษัทหลักทรัพย์ ทิสโก้ จำกัด ระบุในบทวิเคราะห์ (21 ต.ค. 2564) โดยคาดว่า COTTO จะประกาศกำไรสุทธิในไตรมาส 3/2564 ที่ 136 ล้านบาท ลดลง 20.20% จากงวดเดียวกันของปีก่อน และลดลง 23.10% จากไตรมาสก่อน โดยมีสมมติฐานมาจาก (1) ยอดขายที่ลดลง 3% จากงวดเดียวกันของปีก่อน และลดลง 8.8% จากไตรมาสก่อน เนื่องจากผลกระทบจากการ Lockdown และฝนที่ตกหนักแต่ยอดขายถือว่าลดลงไม่มากเนื่องจากบริษัทมีการปรับราคาขายขึ้น เล็กน้อย

อีกทั้ง (2) Gross margin ลดลงเล็กน้อยทั้งจากงวดเดียวกันของปีก่อน และจากไตรมาสก่อน จาก 30.30% และ 29.50% เป็น 29.00% เนื่องจากต้นทุนก๊าซที่เพิ่มขึ้นแต่บางส่วนถูกชดเชยจากการปรับราคาขายขึ้นรวมถึงการปรับปรุงประสิทธิภาพของบริษัท และ (3) S&A expenses ต่อยอดที่เพิ่มขึ้นจากไตรมาสก่อน จาก 22.10% เป็น 23.10% (เนื่องจากค่าขนส่งที่เพิ่มขึ้นตามราคาน้ำมันดีเซลและค่าใช้จ่ายที่เพิ่มขึ้นเกี่ยวกับโควิด) แต่ยังลดจากงวดเดียวกันของปีก่อน จาก 24% จากการควบคุมค่าใช้จ่าย

ทั้งนี้จากสถานการณ์โควิดที่เริ่มคลี่คลายทำให้รัฐบาลเริ่มผ่อนคลายมาตรการ Lockdown ตั้งแต่เดือนก.ย.ทำให้คาดว่า ความต้องการกระเบื้องเซรามิคเริ่มฟื้นตัวและน่าจะดีขึ้นหลังหมดฤดูฝนและสถานการณ์น้ำท่วมเริ่มคลี่คลาย นอกจากนั้นบริษัทยังมีแผนจะปรับราคาขายขึ้นอีกเพื่อสะท้อนต้นทุนพลังงานที่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง และการปรับปรุงประสิทธิภาพอย่างต่อเนื่องจะช่วยลดผลกระทบได้ส่วนหนึ่ง

นอกจากนั้นการออกสินค้าใหม่ เช่น Air Ion Tile รวมถึงเปิดสาขาคลังเซรามิคเพิ่มจากปัจจุบัน 47 สาขา เป็น 100 สาขาภายในปี 2566 รวมถึงรายได้จากธุรกิจติดตั้งระบบ Solar Cell จะช่วยสนับสนุนรายได้และกำไรในไตรมาส 4/2565 ให้กลับมาเติบโต

อย่างไรก็ดีทางฝ่ายวิจัยคงราคาเป้าหมายที่ 2.30 บาท คิดจาก 19 เท่า ค่า PER ของกำไรปี 2565 (คิดจาก ค่าเฉลี่ยย้อนหลัง 3 ปีของ DCC ซึ่งทำธุรกิจเดียวกัน) เนื่องจากมี Downside จากราคาหุ้นในปัจจุบัน 18% ทางฝ่ายวิจัยจึงคงคำแนะนำ “ขาย”

 

Back to top button