NEX บวก 3% โบรกเชียร์ซื้อเป้า 13.40 บ. ลุ้นปีนี้เทิร์นอะราวด์-ออเดอร์ EV หนุนทะลัก!

NEX บวก 3% โบรกเชียร์ซื้อเป้า 13.40 บ. ลุ้นปีนี้เทิร์นอะราวด์-ออเดอร์ EV หนุนทะลัก! โดย ณ เวลา 10:10 น. อยู่ที่ระดับ 9.60 บาท เพิ่มขึ้น 0.30 บาท


ผู้สื่อข่าวรายงานว่า วันนี้(2 พ.ย.64) ราคาหุ้นบริษัท เน็กซ์ พอยท์ จำกัด (มหาชน) หรือ NEX ณ เวลา 10:10 น. อยู่ที่ระดับ 9.60 บาท เพิ่มขึ้น 0.30 บาท หรือ 3.23% โดยทำจุดสูงสุดที่ 9.70 บาท และทำจุดต่ำสุดที่ 9.35 บาท ด้วยมูลค่าการซื้อขาย  104.88 ล้านบาท

บล.คิงส์ฟอร์ด ระบุในบทวิเคราะห์(27 ต.ค.64) ว่า NEX (ซื้อเก็งกำไร ราคาเฉลี่ย IAA Consensus 13.40 บาท) แนวโน้มผลการดำเนินงานในช่วงครึ่งหลังปี 2564  จะพลิกเป็นกำไร โดยได้รับปัจจัยหนุนจากทยอยส่งมอบรถ e-bused จำนวน 120 คัน ซึ่งมีการส่งมอบล็อตแรกไปแล้วในช่วงเดือน ก.ย. 60 คัน และในไตรมาส 4/64 มีแผนจะส่งมอบรถอีก 400 คัน พร้อมกับตั้งเป้าส่งมอบรถในปี 65 จำนวน 3,000 คัน

นอกจากนี้ยังมีโอกาสรับงานเพิ่มขึ้นจากแผนผลักดันเทคโนโลยียานยนต์ไฟฟ้าสำหรับรถขนส่งสาธารณะ (EV) ของภาครัฐ โดยมีหน่วยงานที่สนใจเช่น บขส. ขสมก. รวมถึงลูกค้าเอกชนเช่นตามนิคม อุตสาหกรรม

โดยก่อนหน้า(10 ต.ค.64)นายคณิสสร์  ศรีวชิระประภา ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร NEX เปิดเผยว่า แนวโน้มความต้องการใช้รถยนต์ไฟฟ้า (EV) ยังคงเติบโตต่อเนื่อง ส่วนสำคัญมาจากนโยบายของภาครัฐที่มีนโยบายส่งเสริมการใช้รถยนต์ไฟฟ้ามากขึ้นซึ่งมองทิศทางปี 2565 คาดว่าจะได้รับคำสั่งซื้อ (Order) รถยนต์ไฟฟ้าเพิ่มมากขึ้น ประกอบกับภาคเอกชนก็สนใจเปลี่ยนมาใช้รถยนต์ไฟฟ้ามากขึ้นเช่นกัน เพื่อลดต้นทุนค่าเชื้อเพลิง โดยเฉพาะรถยนต์เพื่อการพาณิชย์ที่ใช้สำหรับขนส่งตั้งแต่ 6 ล้อขึ้นไปที่ต้องการเปลี่ยนรถใหม่มีประมาณ 40,000 คันต่อปี

ขณะที่รถเมล์ร่วมบริษัท ขนส่ง จำกัด (บขส.) ที่ต้องการเปลี่ยนรถใหม่ประมาณ 6,000 คันต่อปี ยังไม่นับรวมรถเมล์ของ บขส. ซึ่งก็มีแผนจะเปลี่ยนมาใช้รถเมล์ไฟฟ้าเช่นกัน นอกจากนี้องค์การขนส่งมวลชนกรุงเทพ (ขสมก.) ก็มีแผนจะเปลี่ยนรถเมล์ประมาณ 3,000 คันมาเป็นรถเมล์ไฟฟ้า

ดังนั้นจึงมั่นใจว่าในปี 2565 บริษัทจะมีโอกาสที่จะได้รับออเดอร์ในจำนวนนี้ ซึ่งโรงงานผลิตและประกอบยานยนต์ไฟฟ้าภายใต้บริษัท แอ๊บโซลูท แอสเซมบลี จำกัด (AAB) ซึ่งเป็นโรงงานที่บริษัทร่วมลงทุนกับบริษัท พลังงานบริสุทธิ์ จำกัด (มหาชน) หรือ EA สามารถดำเนินการผลิตได้เต็มกำลังการผลิตได้จำนวน 6,000 คันต่อปี ส่งผลให้แนวโน้มรายได้ของบริษัทในปี 2565 ยังคงเติบโต ตั้งเป้าหมายรายได้เติบโต 100% เมื่อเทียบกับปี 2564 ทั้งนี้บริษัทว่ารายได้ปี 2564 จะพลิกกลับมาเป็นกำไร เมื่อเทียบกับปี 2563 ที่มีขาดทุนสุทธิ 213 ล้านบาท

อย่างไรก็ตาม โรงงานผลิตรถยนต์ไฟฟ้าดังกล่าว ส่วนใหญ่จะเจาะกลุ่มรถยนต์เพื่อเชิงพาณิชย์ อาทิ รถขนส่ง รถเมล์ รถโดยสารประจำทาง เป็นต้น ราคาขายเฉลี่ย 6 ล้านบาทต่อคัน ซึ่งให้ผลตอบแทนจากการลงทุน (IRR) ประมาณ 12-20% ต่อหน่วย ขณะที่ประสิทธิภาพในการวิ่งได้ประมาณ 150 กิโลเมตรต่อคัน ส่วนการผลิตรถยนต์ส่วนบุคคลคงเป็นแผนในระยะยาว เนื่องจากต้องรอให้เป็นที่นิยมใช้มากขึ้นก่อน

สำหรับเงินลงทุนในปี 2565 เบื้องต้นคาดว่าจะใช้เงินลงทุนไม่มากนัก เนื่องจากยังไม่ต้องลงทุนขยายโรงงาน คาดว่าจะใช้เงินลงทุนปีหน้าประมาณ 50-60 ล้านบาท เพื่อใช้สำหรับการลงทุนวิจัย และพัฒนาขบวนการผลิต เพื่อให้เกิดประสิทธิภาพเพิ่มขึ้น

Back to top button