“หุ้นกลุ่มปตท.” บวกคึก! รับราคาน้ำมันดิบพุ่งแรง ลุ้นทะลุ 100 เหรียญ

"กลุ่มปตท." บวกคึก! รับราคาน้ำมันดิบนิวไฮรอบ 7 ปี ลุ้นทะลุ 100 เหรียญ/บาร์เรล PTTEP นำทีมบวก 3% โบรกฯเชียร์ซื้อเป้า 150 บาท


ผู้สื่อข่าวรายงานว่า วันนี้ (14 ก.พ. 2565) ณ เวลา 10:10 น. หุ้นกลุ่มปตท.ราคาหุ้นปรับตัวขึ้นนำโดย บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน)  หรือ PTT ราคาหุ้นอยู่ที่ระดับ 40.75 บาท บวกไป 0.50 บาท หรือขึ้นไป 1.24% โดยทำจุดสูงสุดที่ระดับ 41.00 บาท และทำจุดต่ำสุดที่ระดับ 40.50 บาท ด้วยมูลค่าการซื้อขาย 540.38 ล้านบาท

บริษัท ปตท. สำรวจและผลิตปิโตรเลียม จำกัด (มหาชน) หรือ PTTEP ราคาหุ้นอยู่ที่ระดับ 134.50 บาท บวกไป 3.50 บาท หรือขึ้นไป 2.67% โดยทำจุดสูงสุดที่ระดับ 134.50 บาท และทำจุดต่ำสุดที่ระดับ 133.00 บาท ด้วยมูลค่าการซื้อขาย 675.26 ล้านบาท

บริษัท พีทีที โกลบอล เคมิคอล จำกัด (มหาชน) หรือ PTTGC ราคาหุ้นอยู่ที่ระดับ 58.50 บาท บวกไป 0.75 บาท หรือขึ้นไป 1.30% โดยทำจุดสูงสุดที่ระดับ 58.75 บาท และทำจุดต่ำสุดที่ระดับ 58.00 บาท ด้วยมูลค่าการซื้อขาย 259.31 ล้านบาท

บริษัท ไออาร์พีซี จำกัด (มหาชน) หรือ IRPC ราคาหุ้นอยู่ที่ระดับ 4.02 บาท บวกไป 0.06 บาท หรือขึ้นไป 1.52% โดยทำจุดสูงสุดที่ระดับ 4.02 บาท และทำจุดต่ำสุดที่ระดับ 3.98 บาท ด้วยมูลค่าการซื้อขาย 172.25 ล้านบาท

บริษัท ไทยออยล์ จำกัด (มหาชน) หรือ TOP ราคาหุ้นอยู่ที่ระดับ 51.25 บาท บวกไป 1.25 บาท หรือขึ้นไป 2.36% โดยทำจุดสูงสุดที่ระดับ 54.75 บาท และทำจุดต่ำสุดที่ระดับ 53.75 บาท ด้วยมูลค่าการซื้อขาย 317.77 ล้านบาท

 

บล.เคทีบีเอสที ระบุในบทวิเคราะห์วันนี้(14 ก.พ.65) ว่า ราคาน้ำมันดิบแตะระดับสูงสุดในรอบ 7 ปี เมื่อวันที่ 11 ก.พ.2565 ราคาน้ำมันดิบ Brent ได้ปรับตัวสูงขึ้นเป็น 94.4 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล (โต 21% ตั้งแต่ต้นปีจนถึงล่าสุด) ซึ่งเป็นระดับ ที่สูงที่สุดตั้งแต่ปลายปี 2557 ก่อนเกิดเหตุการณ์ภาวะอุปทานน้ำมันล้นตลาด จากการผลิตของ US shale oil)

ทั้งนี้แนวโน้มขาขึ้นของราคาน้ำมันดิบใน ปัจจุบัน มีปัจจัยผลักดันมาจากสมดุลน้ำมันดิบโลกที่ตึงตัว ซึ่งเป็นผลจากอุปสงค์ที่ฟื้นตัวต่อเนื่องหลังจากมีการฉีดวัคซีน COVID-19 อย่างแพร่หลาย ซึ่งส่งผลดีต่อการเดินทางและเศรษฐกิจโลกโดยรวม สำหรับฝั่งอุปทาน แม้ว่าระดับ ปริมาณสํารองจะอยู่ในระดับที่ต่ำกว่าค่าเฉลี่ย 5 ปี แต่กลุ่ม OPEC+ ก็ยังคง แผนการเพิ่มกำลังการผลิตน้ำมันอย่างค่อยเป็นไปค่อยไป (หลังจากมีการลด กําลังการผลิตใหญ่ที่สุด 9.7 ล้านบาร์เรลต่อวิน (mbd) ในปี 2564 จาก ผลกระทบจากการแพร่ระบาดของ COVID-19)

นอกจากนี้ ราคาน้ำมันดิบก็ยัง ได้แรงหนุนจากความเสี่ยงทางการเมืองระหว่างประเทศที่สูงขึ้น ซึ่งรวมถึง เหตุการณ์ความไม่สงบอย่างต่อเนื่องในตะวันออกกลาง และข้อพิพาทระหว่าง รัสเซียและยูเครน ยิ่งกว่านั้น สมาชิก OPEC บางประเทศก็ประสบปัญหาใน การเพิ่มกำลังการผลิตน้ำมันดิบให้ได้ตามโควตาอีกด้วย

หากข้อพิพาทรุนแรงมากขึ้น; downside risk จากการเจรจายกเลิกการคว่ำบาตรอิหร่านและการผลิตที่สูงขึ้นของ US shale oil ผู้เชี่ยวชาญและนักวิเคราะห์ ประเมินว่าราคาน้ำมันดิบอาจขึ้นไปแตะระดับ 100 เหรียญ ได้หากข้อพิพาท ระหว่างรัสเซีย-ยูเครนมีความตึงเครียดมากขึ้น (ล่าสุดมีข่าวว่ารัสเซียได้เตรียม ทหารมากกว่า 1 แสนนายประชิดพรมแดนยูเครน) ซึ่งอาจจะทำให้ราคาก๊าซ ธรรมชาติสูงขึ้นอย่างมาก และทำให้เกิดอุปสงค์ gas-to-oil นอีก คล้ายกับ เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในช่วงปลายปี 2021 ที่ผ่านมา

อย่างไรก็ดีราคานํามัน อาจจะปรับตัวลงมาได้หากการเจรจายกเลิกการดวาบาตรอิหร่านสำเร็จ (อิหร่านผลิตน้ำมันประมาณ 2.5mbd ในเดือน ธ.ค.2564 เทียบกับ 3.4 3.8mbd ก่อนมีการควบาตร) นอกจากนี้ แนวโน้มการเร่งการผลิตน้ำมันของ3.8mbd ก่อนมีการควบาตร) นอกจากนี้ แนวโน้มการเร่งการผลิตน้ำมันของ US shale oil ก็เป็นอีกปัจจัยที่อาจจะกดดินราคาน้ำมันดิบให้อ่อนตัวลงได้

โดย KTBST: มองเป็นลบต่อตลาดหุ้นไทยจากผลกระทบในวงกว้าง แม้เราเชื่อว่า แนวโน้มราคาน้ำมันดิบที่แข็งแกร่งจะส่งผลดีต่อกำไรของหุ้นในกลุ่มพลังงาน และปิโตรเคมี รวมถึงท่าไรต่อหุ้น (EPS) ของตลาด เชื่อว่าราคานํามันดิบที่ สูงขึ้นจะส่งผลต่อต้นทุนพลังงานของบริษัทในอุตสาหกรรมอื่นๆให้สูงขึ้นตาม โดยคาดว่าอุตสาหกรรมหลักๆที่ได้รับผลกระทบเชิงลบจากแนวโน้มราคา น้ำมันดิบยืนสูงได้แก่ กลุ่มท่องเที่ยวและสายการบิน กลุ่มขนส่งและโลจิสติกส์ กลุ่มโรงไฟฟ้า และกลุ่มบริการรับเหมาก่อสร้าง

ทั้งนี้เชื่อว่าผลกระทบเชิงลบ จองต้นทุนที่สูงขึ้นในกลุ่มอุตสาหกรรมอื่นๆจะใหญ่กว่าผลกระทบเชิงบวกจาก กําไรที่สูงขึ้นของกลุ่มพลังงานและปิโตรเคมี และน่าจะส่งผลให้ EPS ของตลาด ลดลง สมมติฐานราคาน้ำมันดิบดูไบเฉลี่ยปี  2565อยู่ที่ 73 ดอลลาร์/บาร์เรล (โต 5% เทียบช่วงเดียวกันของปีก่อน)

โดยเชื่อว่าราคาน้ำมันดิบจะทรงตัวในระดับสูงในไตรมาส 1/2565 หลักๆจากประเด็นความกังวลต่อข้อพิพาทระหว่างรัสเซียและยูเครน ก่อนที่จะทยอยปรับตัวลงระหว่างปีตามอุปทานที่สูงขึ้นจากแผนการเพิ่มกำลัง การผลิตของ OPEC+ ทั้งนี้สำนักงานสารสนเทศด้านการพลังงานของรัฐบาล สหรัฐ (EIA) ได้ประเมินว่าตลาดน้ำมันดิบโลกจะกลับมาเผชิญภาวะอุปทานสับ ตลาดตั้งแต่ ไตรมาส 2/2565 เป็นต้นไป

อย่างไรก็ดี ประเด็นความข้อพิพาทระหว่าง รัสเซียและยูเครนอาจจะทำให้ราคา ามันดิบยืนสูงได้นานกว่าที่เราคาดและ อาจจะทำให้มี upside ต่อสมมติฐานราคา กินดิบเฉลี่ยของเรา ทั้งนี้ราคาน้ำมันดิบดูไบเฉลี่ยปี 2565 YTD อยู่ที่ 84 ดอลลาร์/บาร์เรล (+10% YTD)

หุ้นที่เราคาดว่ามีโอกาส outperform ต่อในระยะสั้นจากราคาน้ำมันที่มีแนวโน้ม สูงขึ้นต่อ คือ

1) บริษัท ไทยออยล์ จำกัด (มหาชน) หรือ TOP แนะนำ “ชื้อ” ราคาเป้าหมาย 68.00 บาท จากกำไรสต๊อกน้ำมันที่สูงขึ้นและส่วนต่างราคา ผลิตภัณฑ์น้ำมันและราคาน้ำมันดิบ (crack spread) ที่แข็งแกร่ง

2) บริษัท ปตท. สำรวจและผลิตปิโตรเลียม จำกัด (มหาชน)  หรือ PTTEP  แนะนำ “ซื้อ” ราคาเป้าหมาย 150.00 บาท จากราคาขายเฉลี่ย (ASP) ที่สูงขึ้น

3) บริษัท บ้านปู จำกัด (มหาชน) หรือ BANPU แนะนำ “ซื้อ” ราคาเป้าหมาย 15.00 บาท จากราคาจายท่านหินและก๊าซฯที่สูงขึ้น

หุ้นที่เราคาดว่ามีโอกาส underperform ต่อในระยะสั้น จากต้นทุนพลังงานที่ สูงขึ้นทางตรง (ราคาน้ำมัน) และทางอ้อม เช่น ราคาก๊าซ) คือ

1) บริษัท บี.กริม เพาเวอร์ จำกัด (มหาชน)  หรือ BGRIM  แนะนำ “ซื้อ” ราคาเป้าหมาย 56.50 บาท จากต้นทุนราคาก๊าซที่สูงขึ้น

2) บริษัท โกลบอล เพาเวอร์ ซินเนอร์ยี่ จำกัด (มหาชน)หรือ GPSC แนะนนำ “ซื้อ” ราคาเป้าหมาย 95.00 บาท จาก ต้นทุนราคาก๊าซรที่สูงขึ้น

3) บริษัท พีทีจี เอ็นเนอยี จำกัด (มหาชน) หรือ PTG แนะนำ “ถือ” ราคาเป้าหมาย 15.20 บาท จากแรงกดดันต่อค่าการตลาดที่สูงขึ้นจาก ราคาน้ำมันที่อยู่ในระดับสูง

Back to top button