SAPPE พุ่งกระฉูด 7% ทะลุเป้า 33 บ. จับตางบ Q1 กำไรโตแรง! ยอดขายตปท.-บาทอ่อนหนุน

SAPPE พุ่งกระฉูด 7% ทะลุเป้า 33 บ. จับตางบ Q1 กำไรโตแรง! ยอดขายตลาดตปท.-บาทอ่อนหนุนเด่น โดย ณ เวลา 11:43 น. อยู่ที่ 33.75 บาท บวก 2.25 บาท


ผู้สื่อข่าวรายงานว่า วันนี้(25เม.ย.2565) ราคาหุ้น บริษัท เซ็ปเป้ จำกัด (มหาชน) หรือ SAPPE ล่าสุด ณ เวลา 11:43 น. อยู่ที่ 33.75 บาท บวก 2.25 บาท หรือ 7.14% สูงสุดที่ 33.75 บาท ต่ำสุดที่ 30.00 บาท ด้วยมูลค่าซื้อขาย 136.03 ล้านบาท โดยราคาหุ้นปรับตัวแรงในรอบ 5 ปี 3 เดือน โดยเทียบตั้งแต่หุ้นยืนที่ระดับ 34 บาท เมื่อวันที่ 30 พ.ย.2559

ด้านนางสาวปิยจิต รักอริยะพงศ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เซ็ปเป้ จำกัด (มหาชน) หรือ SAPPE เปิดเผยกับ “ข่าวหุ้นธุรกิจ” ผ่านรายการ “ข่าวหุ้น” ออกอากาศทางช่อง MCOT HD30 ในวันที่ 22 เมษายน 2565 โดยมีประเด็นสำคัญดังนี้

ปัจจัยสำคัญต่อผลประกอบการปี 2565

จากในปี 2564 มาถึงปัจจุบันในปี 2565 ผลิตภัณฑ์ของ SAPPE ได้มีการผูกขาดในตลาดต่างประเทศจำนวนมาก ดังนั้นเมื่อสถานการณ์โควิด-19 มีความคลี่คลายมากขึ้น ส่งผลให้เศรษฐกิจในหลายประเทศเริ่มกลับมาฟื้น ถือเป็นสัญญาณที่ดีที่จะทำให้ยอดขายในต่างประเทศกลับมาฟื้นตัว ด้วยปัจจัยดังกล่าวจึงทำให้บริษัทฯมองว่าผลประกอบการในปี 2565 จะเติบโตไปในทิศทางบวก หลังจากในปีที่ผ่านมาสัดส่วนของยอดขายมาจากต่างประเทศกว่า 90 ประเทศทั่วโลกสัดส่วน 65% และมาจากภายในประเทศสัดส่วน 35% รวมถึงยอดขายในแต่ละประเทศมีการเติบโตด้วยเช่นกัน โดยเฉพาะในส่วนประเทศเกาหลีที่มีการเติบโตสูงถึง 20% และเชื่อว่าในปีนี้ไม่ว่าจะเป็นตลาดในทวีปยุโรปหรือทวีปอเมริกา ยอดขายน่าจะมีการปรับตัวไปในทิศทางที่เติบโต

ผลิตภัณฑ์ของ SAPPE

โดยหลักๆ ประกอบด้วย 1.เครื่องดื่มผลไม้ 2.Functional Drink และ 3. Functional Powder ยกตัวอย่างเช่น ผงกาแฟควบคุมน้ำหนัก ยี่ห้อ “เพรียว” ซึ่งในตลาดต่างประเทศ ผลิตภัณฑ์ที่ได้รับความนิยมและเป็นตัวชูตลาดในต่างประเทศคือ “MOGU MOGU” หรือ น้ำผลไม้ที่ใส่วุ้นมะพร้าวลงไปด้วย และอีกหนึ่งผลิตภัณฑ์อย่าง “Sappe Aloe Vera” หรือน้ำผลไม้ที่มีส่วนผสมของว่านหางจระเข้ แต่ในประเทศไทยที่ได้รับความนิยมจะเป็นตัว “Sappe Beauti Series” และเครื่องดื่มวิตามีภายใต้ยี่ห้อ “B’lue” ที่เป็นผลิตภัณฑ์ที่ได้ร่วมมือกับ Danone หรืออย่างล่าสุดที่จับมือกับ บริษัท ห้าตะขาบ (ซิมเทียนฮ้อ) จำกัด ซึ่งเป็นการที่ SAPPE ร่วมมือกับ SMEs หรือ เกษตรกร ในการผลิตสินค้า ในการช่วยเพิ่มช่องทางในการขายด้วยการนำแบรนด์ของตะขาบมาเพิ่มจุดเด่นในสินค้าของ SAPPE โดยนำคุณประโยชน์ของแต่ละสมุนไพรมาผสมให้ลงตัวและให้ความเย็น ชุ่มคอ

โดยในส่วนของการผลิตใน 1-2 ต่อจากนี้ยังสามารถรองรับตลาดได้เพียงพอ แต่ในปีหน้าทาง SAPPE จะเริ่มมองหาถึงการลงทุนในการขยายไลน์การผลิต ซึ่งตอนนี้อยู่ในขั้นตอนการศึกษาว่าจะอยู่ภายในประเทศ หรือต่างประเทศ

ทั้งนี้ ทางบริษัทฯ ยังไม่มีนโยบายในการตรึงราคาของผลิตภัณฑ์เพื่อให้สอดคล้องกับสถานการณ์เงินเฟ้อที่เกิดขึ้น และทางบริษัทฯ จะมองหาช่องทางที่จะไม่ส่งผลกระทบไปยังราคาสินค้า เช่นการลดต้นทุน

สถานการณ์ในไตรมาสที่ 1/2565 เทียบกับ ไตรมาส 4/2564

สำหรับไตรมาส 4/2564 ถือเป็นช่วง Low Season ของบริษัทฯ ขณะที่ไตรมาส 1/2565 จะเป็นช่วงที่ปรับตัวไปในทางที่ดี แต่ในปีนี้มีปัญหาเรื่องของการเดินเรือ เข้ามาเกี่ยวข้อง ซึ่งจะทำให้สินค้าที่ Export จากช่องทางเรือมีปัญหา ประกอบกับการดีลกับเส้นทางเดินเรือค่อนข้างจะยากในช่วงไตรมาส 4 เพราะฉะนั้นจะมีเรื่องของ Sealed Over ของ Order ในช่วงไตรมาส 4/2564 มากระทบกับช่วงไตรมาส 1/2565 ฉะนั้นแล้วผลประกอบการในไตรมาส 1/2565 จะมีการปรับตัวที่ดีขึ้นเมื่อเทียบกับไตรมาส 4/2564 และมองว่ายอดขายทั้งไตรมาสที่ 1/2565 และ 2/2565 จะมีการเติบโตที่แข็งแกร่ง ซึ่งในยามปกติ High Season จะอยู่ช่วงไตรมาส 2 และไตรมาส 3 สะส่วนใหญ่ กล่าวคือ Revenue ในไตรมาส 4 มีตัวเลขที่ต่ำที่สุดเมื่อเทียบกับไตรมาสอื่น ๆ

ขณะที่อัตรากำไรส่วนสุทธิ ที่มีการถูกคาดหมายว่าจะเกินระดับ 12%-13% ทาง Sappe มองว่าด้วยความสามารถในการ Management จึงเชื่อว่าจะสามารถเป็นไปตามเป้าหมายที่ถูกคาดการณ์ไว้ได้

ค่าเงินบาทที่อ่อนค่าจะส่งผลดีอย่างไรต่อ Sappe

แน่นอนว่าการที่ค่าเงินบาทอ่อนค่าจะเป็นผลดีต่อบริษัท เพราะยอดขายที่บริษัทได้รับมีหน่วยเงินเป็น US Dollar แต่ทั้งนี้ยังมีปัจจัยที่ยังคงต้องเฝ้าระวัง นั่นก็คือเรื่องของต้นทุน รวมทั้งปัญหาเงินเฟ้อ ซึ่งในส่วนของปัญหาเรื่องต้นทุน เนื่องจาก Sappe เป็นบริษัทผลิตเครื่องดื่ม ในส่วนของการผลิต พวกวัตถุดิบเราจะมีการคัดเลือกและล็อคราคามาตั้งแต่ปีที่แล้วหรือช่วง 5 เดือนก่อนการผลิต นั่นหมายความว่าในช่วงครึ่งปีแรกของปี 2565 อาจไม่ได้รับผลกระทบมากนัก แต่บริษัทฯ ก็มีการบริหารจัดการในการลดต้นทุน รวมไปถึงค่าเงินบาทที่อ่อนค้า 2 ปัจจัยนี้จะช่วยทำให้ผลประกอบการของ SAPPE ออกมาในทิศทางที่ดีอยู่แน่นอน

แผนการดำเนินธุรกิจต่อจากนี้

  1. การเปิดตัวผลิตภัณฑ์ใหม่ที่มีอย่างต่อเนื่อง ทั้งในประเทศและต่างประเทศ
  2. การลงทุนในส่วนของคลังสินค้า

ซึ่งโปรเจกต์จะใช้เงินราว 400 ล้านบาท และจะมีผลกระทบช่วง 1-2 ปีต่อจากนี้

 

ด้านบริษัทหลักทรัพย์ ฟินันเซีย ไซรัส จำกัด (มหาชน) ระบุในบทวิเคราะห์ (18 เม.ย. 2565) ประเมินยังกรณี SAPPE โดยคาดกำไรสุทธิไตรมาส 1 ปี 2565 ฟื้นตัวมาอยู่ที่ 130 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 135.5% จากไตรมาสก่อน และเพิ่มขึ้น 49.8% จากงวดเดียวกันของปีก่อน สาเหตุที่ฟื้นตัวเมื่อเทียบกับไตรมาสก่อนหน้า เพราะคาดไม่มีค่าส่งเสริมการตลาดต่างประเทศที่สูงผิดปกติ (จากการรับรู้ย้อนหลังของ 9 เดือนแรกของปี 2564) เหมือนในไตรมาส 4 ปี 2564 อีก จึงคาด SG&A to Sale จะลดลงมาอยู่ที่ 28% จาก 39.6% ในไตรมาส 4 ปี 2564 แต่ยังเป็นระดับที่สูงขึ้นกว่าช่วงก่อนโควิด เพราะมีบริการหาสายเรือให้กับลูกค้าตั้งแต่ปีก่อน จึงรับรู้ค่าระวางเรือในงบ แต่ถูกหักล้างด้วยรายได้อื่นที่สูงขึ้น เพราะสามารถผลักให้ลูกค้าได้ทั้งหมด

ส่วนสาเหตุที่คาดกำไรโตดีเมื่อเทียบกับงวดเดียวกันของปีก่อน แม้คาดรายได้ในประเทศน่าจะยังอ่อนตัวลงในไตรมาส 1 ปี 2565 แต่ถูกชดเชยได้หมดด้วยรายได้ส่งออกที่ยังเติบโตดีต่อเนื่อง ทั้งตลาดเอเชีย (อินโด ฟิลิปปินส์ เกาหลีใต้), ยุโรป, ตะวันออกกลาง และอินเดีย จึงคาดรายได้รวมจะเติบโตสูงราว 20% เมื่อเทียบกับงวดเดียวกันของปีก่อน ดีกว่าเป้าหมายของบริษัทที่ 15% เมื่อเทียบกับงวดเดียวกันของปีก่อน ขณะที่ยังมีสต็อก Pet Resin ล่วงหน้าถึงกลางปี2565 และด้วย Product Mix ที่ดีจากสัดส่วนรายได้ส่งออกที่ยังสูง คาดอัตรากำไรขั้นต้นยังทรงตัวสูงที่ 39% ใกล้เคียงไตรมาส 4 ปี 2564 และสูงขึ้นจากไตรมาส 1 ปี 2564 และคาดส่วนแบ่งจากบริษัทร่วมจะพลิกเป็นกำไรราว 2 ล้านบาท จาก JV (Danone) ที่น่าจะพลิกมีกำไรในรอบ 12 ไตรมาส และเริ่มรับรู้กำไรจาก M-intel (เข้าถือหุ้น 16.21%)

นอกจากนี้ประเมินแนวโน้มกำไรจะดีขึ้นต่อในไตรมาส 2 ปี 2565 เพราะเป็น High Season ของธุรกิจ ขณะที่ต้นทุน Pet Resin ได้ล็อกไว้ล่วงหน้าแล้ว และคาดเห็นการทยอยออกสินค้าใหม่มากขึ้นในไตรมาส 2 ปี 2565 ถึงไตรมาส 3 ปี 2565 ซึ่งหนึ่งในนั้นคาดจะมี CBD Drink ด้วย โดยบริษัทตั้งเป้ารายได้ในปี 2565 เติบโตเพิ่มขึ้น 15% เมื่อเทียบกับงวดเดียวกันของปีก่อน จากรายได้ในประเทศโตเพิ่มขึ้น 10%-15% เมื่อเทียบกับงวดเดียวกันของปีก่อน ภายหลังโควิดคลี่คลาย และตลาดส่งออกที่ตั้งเป้าโตต่อเนื่อง เพิ่มขึ้น 15%-20% เมื่อเทียบกับงวดเดียวกันของปีก่อน อยู่ระหว่างขยายช่องทางการขายเพิ่มเติมในหลายประเทศ

อีกทั้งมองว่าตลาดอินเดียที่เริ่มเติบโตเร่งตัวขึ้นจะเป็นโอกาสการเติบโตรอบใหม่ในระยะถัดไปของ SAPPE เพราะเป็นตลาดที่มีศักยภาพจากจำนวนประชากรที่มากถึง 1.38 พันล้านคน อันดับ 2 รองจากจีน และถือเป็นกลุ่มลูกค้าเป้าหมายสำหรับแบรนด์ โมกุ โมกุ (น้ำผลไม้ผสมวุ้นมะพร้าว) ซึ่งเป็นสินค้าขายดีของตลาดส่งออกในหลายประเทศ

ทั้งนี้ยังคาดกำไรสุทธิปี 2565 ไว้ที่ 437 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 6.4% เมื่อเทียบกับงวดเดียวกันของปีก่อน หากกำไรไตรมาส 1 ปี 2565 เป็นไปตามคาด จะคิดเป็นสัดส่วน 29% ของประมาณการทั้งปี อย่างไรก็ตามยังต้องติดตามแนวโน้มราคา Pet Raisin ในไตรมาส 3 ปี 2565 เพราะหากยังปรับตัวสูงขึ้น อาจกระทบต่ออัตรากำไรขั้นต้นในครึ่งหลังของปี 2565 ได้คงราคาเป้าหมาย 33 บาท (อิง PE เดิม 23 เท่า) คงคำแนะนำ “ซื้อ”

Back to top button