สรุปปัจจัยสำคัญตลาดทุน-การเงิน-เศรษฐกิจวันนี้

สรุปปัจจัยสำคัญตลาดทุน-การเงิน-เศรษฐกิจประจำวันที่ 3 พ.ย.58


– ช่วงเย็นนี้ เงินเยนอยู่ที่ระดับ 120.75/78 เยน/ดอลลาร์ จากช่วงเช้าที่ระดับ 120.72/73 เยน/ดอลลาร์

– ส่วนเงินยูโร อยู่ที่ระดับ 1.0980/0982 ดอลลาร์/ยูโร จากช่วงเช้าที่ระดับ 1.1011/1015 ดอลลาร์/ยูโร

– ดัชนี SET ปิดวันนี้ที่ระดับ 1,412.62 ลดลง 0.72 จุด หรือ 0.05% โดยมีมูลค่าการซื้อขาย 35,785 ล้านบาท

– สรุปปริมาณการซื้อขายรายกลุ่ม ต่างชาติขายสุทธิ 370.56 ล้านบาท (SET+MAI)

– นายอภิศักดิ์ ตันติวรวงศ์ รมว.คลัง กล่าวว่า ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) มีมติอนุมัติต่ออายุสิทธิประโยชน์ทางภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาสำหรับการลงทุนในกองทุนรวมหุ้นระยะยาว (LTF) ไปอีก 3 ปี จนถึงสิ้นปี 62 จากเดิมที่จะสิ้นสุดในปี 59

 

– กระทรวงการคลัง และสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (BOI) จะออกแพ็คเกจมาตรการกระตุ้นลงทุนเอกชนในปีนี้และปีหน้า ด้วยการเพิ่มสิทธิประโยชน์และการลดหย่อนภาษี ซึ่งเป็นการช่วยกระตุ้นการลงทุนในประเทศ และการส่งเสริมขีดความสามารถในการแข่งขันระยะยาวของประเทศด้วย

– นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รองนายกรัฐมนตรี ฝ่ายเศรษฐกิจ เปิดเผยว่า ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) อนุมัติการปฏิรูปขั้นตอนและระยะเวลาการเข้าร่วมโครงการร่วมลงทุนระหว่างรัฐและเอกชน (PPP) ในโครงการลงทุนด้านโครงสร้างพื้นฐานเพื่อผลักดันให้ดำเนินการได้รวดเร็วขึ้น จากเดิมที่กว่าจะผ่านขั้นตอนและเริ่มลงทุนได้ต้องใช้เวลาถึง 2 ปี โดยจะลดขั้นตอนลงเหลือ 9 เดือน ทั้งนี้ เบื้องต้นมีโครงการ 6 โครงการที่จะเข้าขั้นตอน Fast track ใน 9 เดือน มูลค่าลงทุนรวมราว 3.47 แสนล้านบาท

– ศูนย์วิจัยกสิกรไทย มองว่าในช่วงไตรมาสสุดท้ายของปี 58 จะมีนักท่องเที่ยวต่างชาติเดินทางเข้ามาท่องเที่ยวในไทยจำนวนประมาณ 7.68-8.00 ล้านคน เติบโต 2.6-6.9% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปี 57 (ที่ขยายตัว 7.3%) ส่งผลให้ทั้งปี 58 มีจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติรวมทั้งสิ้น 30.19 ล้านคนขยายตัว 21.7% จากปีที่แล้ว

– กรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ หารือผู้บริหารจากกลุ่มอิเล็กทรอนิกส์ในประเทศไทย ได้แก่ บริษัท HGST (Thailand), บริษัท Western Digital และบริษัท Seagate (Technology) Thailand เกี่ยวกับแนวทางการให้สิทธิประโยชน์แก่กลุ่มอุตสาหกรรมดังกล่าว เพื่อดึงดูดให้มีการลงทุนเพิ่มขึ้นในประเทศไทยและใช้ไทยเป็นฐานการผลิตเพื่อการส่งออก

– น.ส.ผ่องพรรณ เจียรวิริยะพันธ์ อธิบดีกรมพัฒนาธุรกิจการค้า เปิดเผยว่า ขณะนี้ กรมฯอยู่ระหว่างเตรียมการเพื่อบังคับใช้ร่าง พ.ร.บ.หลักประกันทางธุรกิจ ที่ได้ผ่านความเห็นชอบจากสภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) แล้ว และอยู่ระหว่างการรอให้มีผลบังคับใช้ภายใน 240 วันหลังจากวันประกาศในราชกิจจานุเบกษา คาดว่าจะมีผลบังคับใช้ประมาณเดือน ก.ค.59

– ธนาคารกลางออสเตรเลียมีมติคงอัตราดอกเบี้ยที่ระดับต่ำสุดเป็นประวัติการณ์ที่ 2% ในการประชุมวันนี้ ซึ่งเป็นการตรึงอัตราดอกเบี้ยติดต่อกันเป็นเวลา 6 เดือน

– สมาคมแลกเปลี่ยนทองคำและเงินของจีน เปิดเผยว่า ราคาทองคำที่ตลาดฮ่องกงปรับตัว 20 ดอลลาร์ฮ่องกง ปิดที่ระดับ 10,520 ดอลลาร์ฮ่องกง/ตำลึงในวันนี้ โดยราคาดังกล่าวเทียบเท่ากับ 1,135.05 ดอลลาร์สหรัฐ/ทรอยออนซ์ ลดลง 2.16 ดอลลาร์สหรัฐ ที่อัตราแลกเปลี่ยนล่าสุด 1 ดอลลาร์สหรัฐ/ 7.75 ดอลลาร์ฮ่องกง

-นายสี จิ้นผิง ประธานาธิบดีจีน เปิดเผยว่า อัตราการขยายตัวทางเศรษฐกิจของจีนไม่ควรจะต่ำกว่า 6.5% ในช่วง 5 ปีข้างหน้า เพื่อที่จะบรรลุเป้าหมายในการเพิ่มผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (GDP) และรายได้ต่อหัวของประชากรให้เป็น 2 เท่าของปี 2553 ภายในปี 2563

– ธนาคารกลางจีนเปิดเผยเอกสารที่ระบุว่า ธนาคารกลางต่างชาติและสถาบันการเงินต่างชาติได้รับอนุญาตให้เปิดบัญชีเงินฝากสกุลเงินหยวนในจีนได้ สำหรับการสว็อปสกุลเงินกับธนาคารกลางจีน, การลงทุนในตลาดพันธบัตรอินเตอร์แบงก์จีน รวมถึงการบริหารจัดการเงินทุนรายวันด้วย

– สถาบันจัดอันดับความน่าเชื่อถือระหว่างประเทศ สแตนดาร์ด แอนด์ พัวร์ (S&P) เปิดเผยว่า มีธนาคารรายใหญ่ 8 แห่งของสหรัฐฯ ที่อาจจะถูกปรับลดอันดับความน่าเชื่อถือโดย S&P ซึ่งได้แก่ เจพีมอร์แกน เชส แอนด์ โค, แบงก์ ออฟ อเมริกา คอร์ป, ซิตี้กรุ๊ป อิงค์, โกลด์แมน แซคส์, เวลส์ ฟาร์โก แอนด์ โค, มอร์แกน สแตนลีย์, แบงก์ ออฟ นิวยอร์ก เมลลอน คอร์ป และสเตท สตรีท คอร์ป โดยปัจจัยที่ทำให้ธนาคารทั้ง 8 แห่งมีความเสี่ยงที่จะถูกปรับลดอันดับความน่าเชื่อถือนั้น มาจากมุมมองที่ว่า มีโอกาสน้อยลงที่รัฐบาลสหรัฐฯ จะให้ความช่วยเหลือเพิ่มเติมแก่ภาคธนาคารในยามวิกฤติ

 

ที่มา: สำนักข่าวอินโฟเควสท์

Back to top button