TU บวก 5% มั่นใจรายได้ปีนี้โต 10-12% เตรียมดัน “ไอ-เทล คอร์ปอเรชั่น” เข้าตลาด Q4

TU บวก 5% ส่งซิกครึ่งปีหลังดี มั่นใจรายได้โต10-12% เตรียมดันบริษัทลูก “ไอ-เทล คอร์ปอเรชั่น” หรือ ITC เข้าตลาดหุ้นไตรมาส 4/65


ผู้สื่อข่าวรายงานว่า วันนี้(20ก.ย.65) ราคาหุ้นบริษัท ไทยยูเนี่ยน กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) หรือ TU ณ เวลา 10:26 น. อยู่ที่ระดับ 17.50 บาท บวก 0.80 บาท หรือ 4.79% ราคาสูงสุดอยู่ที่ 17.60 บาท ราคาต่ำสุดอยู่ที่ 17.20 บาท ด้วยมูลค่าซื้อขาย 500.99 ล้านบาท

ด้านนายธีรพงศ์ จันศิริ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร TU ให้สัมภาษณ์พิเศษกับ “ข่าวหุ้นธุรกิจ” ว่า แนวโน้มผลการดำเนินงานในช่วงครึ่งปีหลังของปี 2565 น่าจะมีการเติบโตต่อเนื่องจากช่วงครึ่งปีแรกที่มียอดขาย 75,217 ล้านบาท เติบโต 12.3% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน ด้วยอัตราแลกเปลี่ยนค่าเงินบาทที่ระดับ 35 บาทต่อเหรียญสหรัฐ ช่วยสนับสนุนการส่งออกได้ดี

ขณะที่ ราคาน้ำมันเริ่มมีแนวโน้มการปรับตัวลดลง น่าจะทำให้การขนส่งดีขึ้นจากอัตราค่าขนส่งที่ปรับลดลง โดยจะส่งผลให้ต้นทุนลดลงอย่างต่อเนื่อง จึงมั่นใจปี 2565 ยอดขายจะเติบโตเป็นตัวเลขสองหลักที่ประมาณ 10-12% จากปีก่อนที่มียอดขายประมาณ 141,000 ล้านบาท รวมถึงคาดจะมีอัตรากำไรขั้นต้นระดับ 17.5-18% และจะรักษาระดับค่าใช้จ่ายในการขายและบริหาร (SG&A) ไว้ที่ 12-12.5%

ทั้งนี้ ในช่วงครึ่งปีแรกของปี 2565 ธุรกิจอาหารทะเลบรรจุกระป๋องมียอดขายเติบโตประมาณ 10% เนื่องจากการปรับราคาขายที่สูงขึ้น รวมถึงอัตราแลกเปลี่ยนค่าเงินบาทที่อ่อนค่า ส่วนธุรกิจอาหารทะเลแช่แข็งและแช่เย็นไม่ค่อยดี เนื่องจากเศรษฐกิจที่ชะลอตัว ส่งผลให้การบริโภคลดลง และธุรกิจอาหารสัตว์เลี้ยงและผลิตภัณฑ์เพิ่มมูลค่ายอดขายเติบโต 42% จากความต้องการอาหารสัตว์เลี้ยงที่สูงขึ้นมาก จึงวางเป้าหมาย 5 ปีข้างหน้า ยอดขายธุรกิจอาหารสัตว์เลี้ยงจะมีการเติบโตปีละ 15%

สำหรับครึ่งปีแรกที่ผ่านมา บริษัทมีสัดส่วนรายได้จากธุรกิจอาหารทะเลบรรจุกระป๋องประมาณ 43% ธุรกิจอาหารทะเลแช่แข็งและแช่เย็นประมาณ 37% และธุรกิจอาหารสัตว์เลี้ยงและผลิตภัณฑ์เพิ่มมูลค่าประมาณ 20% (หากเป็นสัดส่วนเฉพาะธุรกิจอาหารสัตว์เลี้ยงจะอยู่ที่ประมาณ 15% และธุรกิจอื่น ๆ อยู่ที่ประมาณ 5%)

นอกจาก 3 กลุ่มธุรกิจหลัก คือ ธุรกิจอาหารทะเลบรรจุกระป๋อง, ธุรกิจอาหารทะเลแช่แข็งและแช่เย็น และธุรกิจอาหารสัตว์เลี้ยงและผลิตภัณฑ์เพิ่มมูลค่าแล้ว บริษัทยังมีการพัฒนาผลิตภัณฑ์ใหม่ ๆ ทั้งอินกรีเดียนท์ โดยอยู่ระหว่างการสร้างโรงงานผลิตคอลลาเจนเปปไทด์ รวมถึงโปรตีนทางเลือก ผลิตภัณฑ์อาหารเสริม เป็นต้น ซึ่งจะมีอัตราการทำกำไรที่สูงขึ้น โดยคาดว่าในปี 2568 จะมีรายได้ระดับพันล้านบาท และคาดจะมีอัตรากำไรขั้นต้นเพิ่มเป็น 20% จากปีนี้คาดไว้ประมาณ 18%

นายธีรพงศ์ กล่าวต่อว่า บริษัทตั้งงบลงทุนในปี 2565 ไว้ประมาณ 6,000 ล้านบาท เพื่อใช้ปรับปรุงโรงงาน และสร้าง 2 โรงงานใหม่ ประกอบด้วย โรงงานผลิตอาหารสำเร็จรูป และโรงงานผลิตคอลลาเจนเปปไทด์ คาดว่าจะแล้วเสร็จในช่วงไตรมาส 2/2566 สำหรับโรงงานผลิตอาหารสำเร็จรูป ที่ผ่านมามีการดำเนินงาน 3 โรงงาน หลังจากโรงงานผลิตอาหารสำเร็จรูปที่ใหม่แล้วเสร็จ จะทำให้มีกำลังการผลิตเพิ่มขึ้นเป็น 15,000 ตันต่อปี หรือเพิ่มขึ้น 30-40% จากเดิมที่มีกำลังผลิตอยู่ที่ 10,800 ตันต่อปี

ส่วนแผนการขยายตลาดในประเทศอินเดีย ร่วมกับบริษัท อาร์ แอนด์ บี ฟู้ด ซัพพลาย จำกัด (มหาชน) หรือ RBF ซึ่งมีการจัดตั้งบริษัทร่วมทุน เพื่อจำหน่ายส่วนผสมในอาหาร โดย TU ถือหุ้นในสัดส่วน 19% ขณะนี้วางแผนสร้างโรงงานเอง โดยอยู่ระหว่างหาที่ดิน คาดว่าจะแล้วเสร็จในปี 2567

ด้านความคืบหน้าการนำบริษัทลูก คือ บริษัท ไอ-เทล คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ ITC ผู้ผลิตอาหารสัตว์เลี้ยงเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯ นั้น ปัจจุบันได้ยื่นไฟลิ่งต่อสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) แล้วเมื่อเดือน ก.ค. 2565 ที่ผ่านมา และคาดจะเข้าจดทะเบียนและซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์ฯ อย่างเร็วที่สุดภายในไตรมาส 4/2565

ล่าสุดวันนี้(20 ก.ย.)บริษัท หลักทรัพย์ โนมูระ พัฒนสิน จำกัด (มหาชน) ระบุว่า TU กลต.นับหนึ่งไฟล์ลิ่ง “ไอ-เทล คอร์เปอเรชั่น (ITC)” ขาย IPO จำนวน 660 ล้านหุ้น บวกต่อ TU ที่ได้ประโยชน์ Unlock Value บริษัทลูก 

Back to top button