CV บวกแรง 8% แย้มครึ่งหลังโตกว่าครึ่งแรก เริ่มบุ๊กธุรกิจผลิต “ชีวมวลอัดเม็ด” เวียดนาม

CV บวกแรง 8% แย้มครึ่งหลังโตกว่าครึ่งแรก หลังกลับมาเดินเครื่องโรงไฟฟ้าพิษณุโลก-เริ่มบุ๊กธุรกิจผลิต“ชีวมวลอัดเม็ด”เวียดนาม ตุนแบ็กล็อกงานวิศวกรรม 1,667 ล้านบาท รับรู้ครึ่งปีหลังกว่า 50%


ผู้สื่อข่าวรายงานว่า วันนี้(1พ.ย.65)ราคาหุ้นบริษัท โคลเวอร์ เพาเวอร์ จำกัด (มหาชน) หรือ CV ณ เวลา 10:28 น. อยู่ที่ระดับ 1.98 บาท บวก 0.14 บาท หรือ 7.61% ราคาสูงสุด 2.06 บาท ราคาต่ำสุด 1.84 บาท

โดยก่อนหน้า นายธีรภัทร์ เพ็ชรโปรี ผู้รับผิดชอบสูงสุดในสายงานบัญชีและการเงิน CV เปิดเผยว่า มั่นใจผลประกอบการช่วงครึ่งปีหลังนี้ (ก.ค.-ธ.ค. 65) จะเติบโตดีกว่าช่วงครึ่งปีแรก และมีอัตรากำไรขั้นต้น (Gross Profit Margin) ดีขึ้น จากช่วงครึ่งปีแรก (ม.ค.-มิ.ย. 65) ที่บริษัทมีรายได้รวม 983.15 ล้านบาท มีอัตรากำไรขั้นต้น 15.37% และมีกำไรสุทธิ 34.77 ล้านบาท เนื่องจากบริษัทได้กลับมาให้บริการโรงไฟฟ้าชีวมวล โคลเวอร์ พิษณุโลก ที่ได้หยุดไปชั่วคราว 1 เดือนในช่วงครึ่งปีแรกที่ผ่านมา

นอกจากนี้ บริษัทจะเริ่มรับรู้รายได้จากธุรกิจผลิตชีวมวลอัดเม็ด (Wood Pellets) ที่ประเทศเวียดนาม กำลังการผลิต 100,000 ตันต่อปี ตั้งแต่ไตรมาส 3 นี้เป็นต้นไป ขณะที่ปัจจุบันบริษัทมีงานที่รอรับรู้รายได้ (แบ็กล็อก) มูลค่า 1,757.80 ล้านบาท ในจำนวนนี้เป็นแบ็กล็อกงานขายเครื่องจักรและให้บริการวิศวกรรมก่อสร้างมากสุด 1,667 ล้านบาท และจะรับรู้ในช่วงครึ่งปีหลังนี้ 50-60%

สำหรับความคืบหน้าการลงทุนด้านธุรกิจเชื้อเพลิงและโรงไฟฟ้านั้น ประกอบด้วย1. ธุรกิจ Wood Pellets ที่ประเทศเวียดนาม ซึ่งบริษัทเพิ่งเข้าไปลงทุนนั้น มีแผนจะขยายกำลังการผลิตเป็น 1.5 แสนตันต่อปีช่วงต้นปี 66 โดย Wood Pellets นี้จะมาซัพพอร์ตเชื้อเพลิงโรงไฟฟ้าในไทยและญี่ปุ่น อีกทั้งเป็นเชื้อเพลิงพลังงานสะอาดที่สามารถใช้แทนถ่านหินได้ จึงมั่นใจว่า Wood Pellets จะเติบโตได้ดีต่อเนื่อง ซึ่งรายได้จาก Wood Pellets จะมี GP เฉลี่ยอยู่ที่ 12-18%, 2. โรงไฟฟ้าพลังงานขยะ (RDF) กำลังการผลิต 50,000 ตันต่อปี อยู่ระหว่างนำเข้าเครื่องจักรและติดตั้ง คาดว่าจะแล้วเสร็จไตรมาส 4/65 และ 3.โครงการโรงไฟฟ้าชุมชนเพื่อเศรษฐกิจฐานราก ซึ่งคาดว่าจะสามารถจ่ายไฟฟ้าเชิงพาณิชย์ (COD) ได้ในปี  67 และโรงไฟฟ้าที่ประเทศญี่ปุ่นจะ COD ได้ประมาณปี 68

นายธีรภัทร์ กล่าวต่อว่า จากการขยายธุรกิจโรงไฟฟ้าดังกล่าว มั่นใจใน 3-5 ปีจากนี้รายได้ จากธุรกิจโรงไฟฟ้าจะเพิ่มจากปัจจุบันไม่ต่ำกว่า 2 เท่า และจะทำให้อัตรากำไรขั้นต้น ภาพรวมของบริษัทเติบโตไม่ต่ำกว่า 2 เท่าเช่นกัน และบริษัทยังมีแผนขยายธุรกิจด้านเทคโนโลยีก่อสร้างแบบ Modula (การก่อสร้างอาคารรูปแบบหนึ่งที่ลดความซับซ้อนของโครงสร้างอาคาร โดยทำให้มีลักษณะสำเร็จรูปมากกว่าโครงสร้างเหล็กปกติ) ให้มีรายได้เพิ่มมากขึ้น ซึ่งเทคโนโลยี Modula ของบริษัทสามารถสร้างอาคารสูง 8 ชั้นได้ โดยช่วงต้นจะขยายตลาดที่ต่างประเทศก่อน เช่น นิวซีแลนด์ ออสเตรเลีย ญี่ปุ่น เพราะเป็นฐานลูกค้าเดิมของบริษัท และเทคโนโลยีการก่อสร้างแบบ Modula ยังไม่เป็นที่รู้จักในไทยมากนัก

 

 

Back to top button