ดาวโจนส์ปิดพุ่ง 227 จุด รับราคาน้ำมันฟื้น-ผลประกอบการบริษัทสดใส

ดัชนีดาวโจนส์ตลาดหุ้นนิวยอร์กปิดพุ่งขึ้นกว่า 200 จุดเมื่อคืนนี้ (14 ม.ค.) โดยตลาดได้แรงหนุนจากการดีดตัวขึ้นของหุ้นกลุ่มพลังงาน หลังจากราคาน้ำมันดิบฟื้นตัวขึ้นติดต่อกันเป็นวันที่ 2 นอกจากนี้ ตลาดยังขานรับรายงานผลประกอบการที่สดใสของบริษัทเอกชน รวมถึงเจพีมอร์แกน เชส แอนด์ โค


สำนักข่าวอินโฟเควสท์รายงานว่า ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ปิด (14 ม.ค.) ที่ 16,379.05 จุด พุ่งขึ้น 227.64 จุด หรือ +1.41% ดัชนี NASDAQ ปิดที่ 4,615.00 จุด เพิ่มขึ้น 88.94 จุด หรือ +1.97% ดัชนี S&P500 ปิดที่ 1,921.84 จุด เพิ่มขึ้น 31.56 จุด หรือ +1.67%

ภาวะการซื้อขายในตลาดหุ้นนิวยอร์กเริ่มกลับมาคึกคักอีกครั้งเมื่อคืนนี้ เนื่องจากนักลงทุนเข้าซื้อหุ้นกลุ่มพลังงาน โดยหุ้นเอ็กซอน โมบิล และหุ้นเชฟรอน คอร์ป ต่างก็พุ่งขึ้นอย่างน้อย 4.5% ขณะที่หุ้นทรานส์โอเชียน ทะยานขึ้น 7.6% ส่วนหุ้นวิลเลียมส์ คอส ซึ่งเป็นผู้ให้บริการท่อส่งน้ำมันรายใหญ่ พุ่งขึ้น 34% นับเป็นการปรับตัวขึ้นแข็งแกร่งสุดในรอบ 13 ปี

ปัจจัยที่ทำให้หุ้นกลุ่มพลังงานดีดตัวขึ้นนั้น มาจากราคาน้ำมันดิบ WTI ที่ฟื้นตัวขึ้นติดต่อกัน 2 วันทำการ หลังจากสำนักงานสารสนเทศด้านการพลังงานของรัฐบาลสหรัฐ (EIA) เปิดเผยว่า สต็อกน้ำมันดิบของสหรัฐขยับขึ้นเพียงเล็กน้อยในสัปดาห์ที่แล้ว ซึ่งข้อมูลดังกล่าวช่วยให้ตลาดคลายความกังวลเกี่ยวกับภาวะอุปทานน้ำมันที่สูงเกินไป

ตลาดยังได้รับแรงหนุนจากผลประกอบการที่สดใสของบริษัทเอกชน รวมถึงเจพีมอร์แกน เชส แอนด์ โค ซึ่งรายงานว่าทางธนาคารมีกำไรพุ่งขึ้น 9% ในไตรมาส 4 ของปี 2015 เมื่อเทียบรายปี โดยได้ปัจจัยหนุนจากธุรกิจธนาคารเพื่อลูกค้ารายย่อยที่มีผลประกอบการที่สดใส รวมทั้งค่าใช้จ่ายด้านกฎหมายที่ลดต่ำลง ทั้งนี้ ข้อมูลดังกล่าวช่วยหนุนหุ้นเจพีมอร์แกน เชส แอนด์ โค พุ่งขึ้น 1.5% หุ้นกลุ่มสื่อปรับตัวเพิ่มขึ้นเช่นกัน โดยหุ้นทเวนตี้-เฟิร์สท์ เซนจูรี ฟ็อกซ์ และหุ้นซีบีเอส คอร์ป พุ่งขึ้นกว่า 3.7%

ทั้งนี้ การฟื้นตัวของราคาน้ำมันและผลประกอบการที่สดใสของบริษัทเอกชนได้ช่วยสกัดปัจจัยลบจากข้อมูลเศรษฐกิจที่อ่อนแอของสหรัฐ โดยเมื่อช่วงค่ำวานนี้ตามเวลาไทย กระทรวงแรงงานสหรัฐเปิดเผยว่า จำนวนผู้ขอรับสวัสดิการว่างงานครั้งแรกในสัปดาห์ที่แล้ว เพิ่มขึ้น 7,000 ราย สู่ระดับ 284,000 ราย ซึ่งสูงกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ไว้ที่ระดับ 275,000 ราย

ขณะที่นักลงทุนจับตาดูรายงานผลประกอบการของบริษัทหลายแห่งในวันนี้ รวมถึงซิตี้กรุ๊ป และแบล็คร็อค อิงค์ ขณะนักวิเคราะห์คาดการณ์ว่า ผลกำไรของบริษัทที่จดทะเบียในดัชนี S&P 500 จะปรับตัวลงราว 6.7% ในไตรมาส 4/2558

นอกจากนี้ นักลงทุนยังจับตาดูข้อมูลเศรษฐกิจในวันนี้เช่นกัน รวมถึงดัชนีราคาผู้ผลิต (PPI) เดือนธ.ค., ยอดค้าปลีกเดือนธ.ค., การผลิตภาคอุตสาหกรรม-อัตราการใช้กำลังการผลิตเดือนธ.ค., ดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคช่วงต้นเดือนม.ค.จากมหาวิทยาลัยมิชิแกน และสต็อกสินค้าคงคลังภาคธุรกิจเดือนพ.ย.

Back to top button