EPG คาดผลประกอบการไตรมาสสุดท้ายสิ้นสุดมี.ค. 59 ดีขึ้น หลังเข้าช่วงไฮซีซั่น

EPG คาดผลประกอบการไตรมาสสุดท้ายสิ้นสุดมี.ค. 59 ดีขึ้น หลังเข้าช่วงไฮซีซั่น เผยปี 59/60 ตั้งงบลงทุนด้านการวิจัย-พัฒนานวัตกรรม 100 ลบ. หวังเพิ่มศักยภาพด้านการแข่งขันทางธุรกิจ


นายภวัฒน์ วิทูรปกรณ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท อีสเทิร์น โพลีเมอร์ กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) หรือ EPG เปิดเผยว่า สำหรับแผนการวิจัยและพัฒนาสินค้าในกลุ่ม EPG ในปี 59/60 ในปีนี้ EPG จะเน้นการพัฒนาและต่อยอดสินค้าในกลุ่มสินค้านวัตกรรมที่ส่งผลต่อความปลอดภัยของผู้บริโภค

โดยตั้งงบลงทุนด้านการวิจัยและพัฒนานวัตกรรมกว่า 100 ล้านบาท หรือ 1% ของรายได้รวม เพื่อเพิ่มศักยภาพด้านการแข่งขันทางธุรกิจ ตอบโจทย์เรื่องความสะดวกสบายและความปลอดภัยของผู้บริโภคสินค้าทั้ง 3 กลุ่มของ EPG ได้แก่ ฉนวนกันความร้อน/เย็น ภายใต้แบรนด์ AEROFLEX/ อุปกรณ์ชิ้นส่วนและตกแต่งยานยนต์ ภายใต้แบรนด์ AEROKLAS และบรรจุภัณฑ์อาหารและเครื่องดื่ม ภายใต้แบรนด์ EPP

ทั้งนี้การวิจัยพัฒนานวัตกรรมของกลุ่มธุรกิจ EPG แบ่งเป็น การพัฒนาสินค้าเดิมให้มีประสิทธิภาพสูงขึ้น/การพัฒนาสินค้าใหม่ให้ครอบคลุมกลุ่มธุรกิจ และการพัฒนาด้านการออกแบบเทคโนโลยีเครื่องจักรในการผลิต โดยงบลงทุนดังกล่าวแบ่งตามกลุ่มธุรกิจได้ดังนี้ ธุรกิจฉนวนกันความร้อน/เย็นใช้งบ 30% ธุรกิจอุปกรณ์ชิ้นส่วนและตกแต่งยานยนต์ใช้งบ 30% และธุรกิจบรรจุภัณฑ์อาหารและเครื่องดื่มใช้งบ 20% ของงบลงทุนด้านการวิจัยและพัฒนานวัตกรรม นอกจากนี้ ยังได้สำรองงบประมาณ 20% เพื่อใช้ในการวิจัยและพัฒนาสินค้าใหม่ๆ นอกเหนือการกลุ่มอุตสาหกรรมที่มีอยู่

“นวัตกรรมที่สร้างสรรค์ ถือเป็นจุดเด่นที่สำคัญที่ทำให้ EPG มีความแตกต่าง และไม่เหมือนใคร ทั้งในเรื่อง 1.Innovative Design 2. Innovative Process และ 3.Innovative Material พิสูจน์ได้จากรางวัลด้านนวัตกรรม และสิทธิบัตรกว่า 600 ฉบับ นอกจากนี้ บริษัทได้ก่อตั้ง บริษัท อีพีจี อินโนเวชั่น เซ็นเตอร์ จำกัด โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อเป็นศูนย์รวมด้านการวิจัยโพลีเมอร์และพลาสติก ที่ทันสมัยแห่งหนึ่งในประเทศไทย ณ เขตอุตสาหกรรม อินเตอร์เนชั่นแนล โพลีเมอร์ ปาร์ค (IPP) จ.ระยอง ซึ่งปัจจุบันมีทีมงานด้านวิจัยของกลุ่มบริษัทฯ กว่า 60 คน” นายภวัฒน์ กล่าว

ด้านนายเฉลียว วิทูรปกรณ์ รองประธานเจ้าหน้าที่บริหาร EPG เปิดเผยว่า สำหรับผลประกอบการในช่วงไตรมาสสุดท้ายสิ้นสุดมีนาคม 59 คาดว่าจะเป็นไปในทิศทางที่ดี เนื่องจากทุกกลุ่มสินค้าเข้าสู่ช่วงไฮซีซั่น มีคำสั่งซื้อเข้ามาเป็นจำนวนมาก ทำให้มั่นใจว่า การเติบโตในปีนี้ (เม.ย.58-มี.ค.59) จะเป็นไปตามเป้าหมาย ที่ 25-30% หรือประมาณ 8,500-9,000 ล้านบาท และจะยังรักษาอัตรากำไรขั้นต้นให้อยู่ในระดับสูงอย่างต่อเนื่อง

Back to top button