วิตกราคาน้ำมันร่วงฉุดดาวโจนส์ปิดลบ 21 จุด

ดัชนีดาวโจนส์ตลาดหุ้นนิวยอร์กปิดลบเมื่อคืนวันศุกร์ที่ผ่านมา (19 ก.พ.) เนื่องจากนักลงทุนวิตกกังวลเกี่ยวกับวิกฤตราคาพลังงาน หลังจากราคาน้ำมันดิบร่วงลงหลุดจากระดับ 30 ดอลลาร์/บาร์เรลเมื่อคืนนี้ อันเนื่องมาจากสต็อกน้ำมันดิบของสหรัฐพุ่งขึ้นแตะระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์ นอกจากนี้ ดัชนีราคาผู้บริโภค (CPI) พื้นฐานของสหรัฐที่พุ่งขึ้นมากที่สุดในรอบเกือบ 4 ปีครึ่ง ยังเป็นอีกปัจจัยที่กดดันตลาด เนื่องจากตัวเลขดังกล่าวได้สนับสนุนกระแสคาดการณ์ที่ว่าธนาคารกลางสหรัฐ (FED) จะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยอีกในปีนี้


สำนักข่าวอินโฟเควสท์รายงานว่า ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ปิด (19 ก.พ.) ที่ 16,391.99 จุด ลดลง 21.44 จุด หรือ -0.13%, ดัชนี NASDAQ ปิดที่ 4,504.43 จุด เพิ่มขึ้น 16.89 จุด หรือ +0.38% และดัชนี S&P500 ปิดที่ 1,917.78 จุด ลดลง 0.05 จุด หรือ 0.00%

ตลาดหุ้นนิวยอร์กปรับตัวลงตั้งแต่ตลาดเปิดทำการ และเคลื่อนไหวในแดนลบจนกระทั่งตลาดปิดทำการ เนื่องจากนักลงทุนยังคงวิตกกังวลเกี่ยวกับราคาน้ำมันดิบที่ปรับตัวลงอย่างต่อเนื่อง โดยเมื่อคืนนี้ ราคาน้ำมัน WTI ดิ่งลงไปกว่า 3% สู่ระดับต่ำกว่า 30 ดอลลาร์/บาร์เรล อันเนื่องมาจากรายงานของสำนักงานสารสนเทศด้านการพลังงานของรัฐบาลสหรัฐ (EIA) ที่ระบุว่า สต็อกน้ำมันดิบของสหรัฐพุ่งแตะระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์ในสัปดาห์ที่แล้ว

นอกจากนี้ ตลาดยังได้รับแรงกดดันจากกระแสคาดการณ์ที่ว่า เฟดอาจจะปรับอัตราดอกเบี้ยขึ้นอีกในปีนี้ หลังจากกระทรวงแรงงานสหรัฐเปิดเผยว่า ดัชนี CPI พื้นฐาน ซึ่งไม่รวมหมวดอาหารและพลังงาน พุ่งขึ้น 0.3% ในเดือนม.ค. เมื่อเทียบรายเดือน ซึ่งเป็นการปรับตัวขึ้นมากที่สุดในรอบเกือบ 4 ปีครึ่ง

คริส รัปคีย์ หัวหน้านักวิเคราะห์จากเอ็มยูเอฟจี ยูเนียน แบงก์กล่าวว่า การที่ดัชนี CPI พื้นฐานพุ่งขึ้นในเดือนม.ค. จะเป็นปัจจัยสนับสนุนให้เฟดปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยในปีนี้ ทั้งนี้ รัปคีย์กล่าวว่า “มันเป็นฝันที่เป็นจริงสำหรับผู้กำหนดนโยบาย พวกเขาต้องการให้เงินเฟ้อเพิ่มขึ้น และพวกเขาก็ได้แล้ว โดยรายงานตัวเลขเงินเฟ้อที่แข็งแกร่งขึ้นจะทำให้เฟดกลับมาพิจารณาการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยในการประชุมนโยบายการเงินในเดือนมี.ค.”

หุ้นกลุ่มพลังงานร่วงลงตามราคาน้ำมันดิบ โดยหุ้นเดวอน เอนเนอร์จี ร่วงลงเกือบ 15% หุ้นเมอร์ฟี ออยล์ คอร์ป ดิ่งลง 9.7% และหุ้นเซาท์เวสเทิร์น เอนเนอร์จี ร่วงลง 17% อย่างไรก็ตาม ตลอดทั้งสัปดาห์นั้น ดัชนีดาวโจนส์ปรับตัวขึ้นทั้งสิ้น 2.6% ดัชนี S&P 500 ปรับขึ้นทั้งสิ้น 2.8% และดัชนี NASDAQ ปรับขึ้นทั้งสิ้น 3.8%

Back to top button