
OSP บวก 5% รับแนวโน้ม Q2 โตต่อ M-150 ดันมาร์เก็ตแชร์เครื่องดื่มชูกำลัง เม.ย. แตะ 45%
OSP บวก 5% คาดผลงานไตรมาส 2/68 โตต่อ ลุยขับเคลื่อนการเติบโตทั้งในและต่างประเทศ ด้วยผลิตภัณฑ์ที่ตอบโจทย์ผู้บริโภคหลากหลายกลุ่ม ครอบคลุมทุกช่วงราคา ชู M-150 ฝาเหลืองดันมาร์เก็ตแชร์เครื่องดื่มชูกำลังเดือน เม.ย. 68 พุ่งแตะ 45% ย้ำกำไรปีนี้สูงกว่าปีก่อน
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า วันนี้ (23 พ.ค. 68) ราคาหุ้น บริษัท โอสถสภา จำกัด (มหาชน) หรือ OSP ณ เวลา 10:06 น. อยู่ที่ระดับ 16.00 บาท บวก 0.80 บาท หรือ 5.26% สูงสุดที่ระดับ 16.10 บาท ต่ำสุดที่ระดับ 15.80 บาท ด้วยมูลค่าการซื้อขาย 109.19 ล้านบาท
นางวรรณิภา ภักดีบุตร ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร OSP เปิดเผยว่า แนวโน้มผลการดำเนินงานในไตรมาส 2/2568 มีโอกาสเติบโตต่อเนื่องจากไตรมาส 1/2568 และช่วงเดียวกันของปี 2567 เนื่องจากผลิตภัณฑ์ในเครือมีความหลากหลาย และเป็นผลิตภัณฑ์ที่จำเป็นต้องใช้และรับประทานเป็นประจำ ทั้งกลุ่มผลิตภัณฑ์เพื่อสุขภาพและเครื่องดื่ม (Health and Wellness/Beverages) แบ่งเป็น ผลิตภัณฑ์เครื่องดื่มบำรุงกำลัง, เครื่องดื่มวิตามิน, เครื่องดื่มสมุนไพรและอื่น ๆ และกลุ่มผลิตภัณฑ์ของใช้ส่วนบุคคล (Personal Care) แม้ว่าภาวะเศรษฐกิจหรือกำลังซื้อของผู้บริโภคในประเทศจะชะลอตัว
นอกจากนี้ บริษัทมีการควบคุมต้นทุนและค่าใช้จ่ายได้อย่างมีประสิทธิภาพ รวมถึงต้นทุนวัตถุดิบที่มีการคุมราคาไว้ 90% หรือครอบคลุมถึงปลายปี 2568 ทำให้ภาพรวมของโอสถสภาถือเป็นหนึ่งในธุรกิจที่ค่อนข้างมีเสถียรภาพในทุกภาวะเศรษฐกิจ
ทั้งนี้ ปัจจุบันบริษัทเป็นผู้นำตลาดเบอร์ 1 ของตลาดกลุ่มเครื่องดื่มเพื่อสุขภาพโดยรวมทุกราคา ตั้งแต่ 10 บาท, 12 บาท และ 15 บาท ซึ่งบริษัทเป็นผู้นำตลาดอันดับ 1 เครื่องดื่มชูกำลัง M-150 ราคา 12 บาท คิดเป็นส่วนแบ่งการตลาด (มาร์เก็ตแชร์) กว่า 80% และครองส่วนแบ่งในระดับสูงอย่างต่อเนื่อง ขณะที่เครื่องดื่มชูกำลัง M-150 ราคา 10 บาท ฝาเหลือง ที่เปิดตลาดเมื่อเดือนกุมภาพันธ์ 2568 เพื่อฉลองครบรอบ 40 ปี สามารถดำเนินการเป็นไปตามแผนการตลาด และช่วยเพิ่มส่วนแบ่งการตลาดเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง
โดยเดือนเมษายน 2568 เครื่องดื่มชูกำลัง M-150 มีส่วนแบ่งการตลาดเพิ่มขึ้นเป็น 45% ของตลาดรวม 22,500 ล้านบาท แบ่งเป็น M-150 ฝาเหลือง 10% และ M-150 ฝาทอง 35% เมื่อเทียบกับสิ้นปี 2567 ที่มีส่วนแบ่งการตลาดอยู่ที่ 44.5% รวมทั้งคาดการณ์ว่าภายในสิ้นปี 2568 จะเห็นส่วนแบ่งการตลาดเติบโตอย่างน้อย 2-3% และคาดหวังไว้สูงสุดที่ 5% โดยมองว่าหาก M-150 ฝาเหลืองสามารถเพิ่มส่วนแบ่งการตลาดได้ต่อเนื่อง จะวางขายต่อไปจากเดิมที่กำหนดไว้ 1 ปี ถือเป็นไปตามเกมการทำการตลาดของบริษัท และในอนาคตยังคงมุ่งหวังที่จะผลักดันให้ขยับขึ้นไปแตะ 49% ตามเดิม
นางวรรณิภา กล่าวต่อว่า ในช่วงที่เหลือของปี 2568 บริษัทประเมินว่าผลการดำเนินงานโดยรวมจะยังคงเป็นไปตามที่บริษัทวางแผนไว้ ทั้งตลาดในประเทศไทยและต่างประเทศ ได้แก่ เมียนมา ลาว อินโดนีเซีย และเวียดนาม ปัจจุบันคิดเป็น 1 ใน 4 ของรายได้รวม รวมถึงประเทศจีน ที่จะนำแบรนด์เบบี้มายด์ รวมถึงผลิตภัณฑ์ที่ร่วมกับหมีเนย (บัตเตอร์แบร์) เข้าไปทำตลาดในช่วงไตรมาส 3/2568 มั่นใจว่าจะได้การตอบรับที่ดีมาก
ส่วนปัจจัยลบในช่วงที่เหลือของปี 2568 มองว่าปัจจัยลบมีเพียงกำลังซื้อของคนไทยที่ลดลง และมีการประหยัดการใช้จ่าย หลังมีการปรับลดผลิตภัณฑ์มวลรวมของประเทศ (GDP) ลง และในช่วงไตรมาส 3/2568 จะมีการทำการตลาด M-150 ฝาทองเพิ่มเติมด้วย
นอกจากนี้ โรงงานกระป๋องแห่งใหม่ของบริษัทจะดำเนินการลงทุนแล้วเสร็จ และเปิดดำเนินการเชิงพาณิชย์ในช่วงไตรมาส 3/2568 ซึ่งจะช่วยให้กลุ่มบริษัทสามารถผลิตกระป๋องหลากหลายขนาด ช่วยลดต้นทุน และเพิ่มประสิทธิภาพในการผลิตให้กับกลุ่มโอสถสภาได้
สำหรับภาพรวมผลการดำเนินงานในปี 2568 บริษัทมั่นใจว่าจะสามารถผลักดันยอดขายให้เติบโตเป็นตัวเลขหลักเดียวเมื่อเทียบกับปี 2567 ที่มียอดขายรวม 27,500 ล้านบาท และมีความสามารถในการทำกำไรมากกว่าปี 2567 ที่มีกำไรสุทธิประมาณ 1,600 ล้านบาท สอดคล้องกับปัจจัยบวกข้างต้น และไม่มีปัจจัยลบ หรือกดดันภายในและภายนอกบริษัท ทั้งตลาดในประเทศและต่างประเทศ รวมทั้งบริษัทไม่มีหนี้สินจากสถาบันทางการเงิน และมีกระแสเงินสดค่อนข้างมากเพียงพอต่อการรองรับขยายธุรกิจทั้งในประเทศและต่างประเทศ รวมถึงโอกาสในการเข้าควบรวมหรือซื้อกิจการ (M&A)
ขณะที่ ผลการดำเนินงานที่แข็งแกร่ง บริษัทเพิ่มขีดความสามารถในการควบคุมต้นทุนวัตถุดิบและสาธารณูปโภคได้อย่างมีประสิทธิภาพต่อเนื่อง และควบคุมค่าใช้จ่ายในการบริหารควบคู่กับการใช้งบประมาณด้านการสร้างแบรนด์อย่างคุ้มค่าและได้ผล ร่วมกับการเพิ่มขึ้นของสัดส่วนรายได้ของตลาดในต่างประเทศ ทั้งในกลุ่มเครื่องดื่มบำรุงกำลังและกลุ่มผลิตของใช้ส่วนบุคคลที่มีอัตรากำไรสูง ช่วยหนุนอัตรากำไรขั้นต้นและกำไรสุทธิเติบโตสูงสุดเป็นประวัติการณ์ สะท้อนขีดความสามารถในการทำกำไรจากธุรกิจหลัก การบริหารจัดการที่สร้างการเติบโตอย่างต่อเนื่อง
นอกจากนี้ มุ่งมั่นขับเคลื่อนอนาคตด้วยพอร์ตโฟลิโอสินค้านวัตกรรม ผสานยุทธศาสตร์ความร่วมมือกับพันธมิตรทางธุรกิจต่าง ๆ เพื่อตอบโจทย์กลุ่มผู้บริโภคที่หลากหลายยิ่งขึ้น ตลอดจนการพัฒนารสชาติ บรรจุภัณฑ์ และนวัตกรรมการใช้งานรูปแบบใหม่ ๆ ที่จะช่วยยกระดับประสบการณ์พร้อมส่งเสริมสุขภาพและความเป็นอยู่ที่ดีของผู้บริโภคอย่างแท้จริง
“บริษัทมุ่งขับเคลื่อนกลยุทธ์ Brand Portfolio อย่างต่อเนื่อง สร้างสีสันให้กับแบรนด์ที่แข็งแกร่งในภูมิภาค เช่น แบรนด์โสมอินซัมที่เติบโตโดดเด่นในภาคตะวันออกเฉียงเหนือ และแบรนด์ฉลามที่ครองใจผู้บริโภคในภาคเหนือและใต้อย่างเหนียวแน่น รวมถึงการบุกตลาดพรีเมียมผ่านแบรนด์ Lipo และ M-150 Sparkling ตอบโจทย์ผู้บริโภคหลากหลายเซกเมนต์ โดยใช้กลยุทธ์ราคาที่ครอบคลุม ตั้งแต่ระดับเข้าถึงง่าย 10 บาท ไปจนถึงระดับกลางและพรีเมียมที่ 12–20 บาท เพื่อขยายฐานผู้บริโภค และสร้างการเติบโตอย่างยั่งยืนในทุกช่องทาง รวมทั้งต่อยอดแคมเปญที่เชื่อมโยงกับอินไซด์ของผู้บริโภคจริง เช่น “ปลดหนี้ทุกชั่วโมง” ซึ่งออกแบบใหม่ให้เข้าถึงง่าย สอดรับกับพฤติกรรมและความต้องการของกลุ่มเป้าหมาย ส่งผลให้มีผู้ร่วมกิจกรรมเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ ช่วยยกระดับประสบการณ์แบรนด์ และสร้างความสัมพันธ์แน่นแฟ้นกับผู้บริโภคในวงกว้าง” นางวรรณิภา กล่าว