SCC วิ่ง 4% เล็งเดินโครงการ “ลองเซิน” หลังมาร์จิ้นปิโตร Q2 ฟื้น

SCC บวกเกือบ 4% รับเตรียมกลับมาเดินเครื่องโครงการลองเซินที่เวียดนาม หลังมาร์จิ้นปิโตรเคมีไตรมาส 2/68 กระเตื้องขึ้น แต่ยังจับตาสถานการณ์ระหว่างสหรัฐฯ กับจีนหลัง 90 วัน ขณะที่ทิศทางผลงาน Q2 ปีนี้เริ่มปรับตัวดีขึ้น จากสเปรดที่ฟื้นตัวและเริ่มเห็นผลเต็มไตรมาสจากการปรับขึ้นราคาปูนซีเมนต์


ผู้สื่อข่าวรายงานว่า วันนี้ (28 พ.ค.68) ราคาหุ้น บริษัท ปูนซิเมนต์ไทย จำกัด (มหาชน) หรือ SCC ณ เวลา 11:13 น. อยู่ที่ระดับ 174 บาท บวก 6 บาท หรือ 3.57% สูงสุดที่ระดับ 174.50 บาท ต่ำสุดที่ระดับ 169.50 บาท ด้วยมูลค่าการซื้อขาย 402.25 ล้านบาท

นายธรรมศักดิ์ เศรษฐอุดม กรรมการผู้จัดการใหญ่ SCC เปิดเผยว่า บริษัทอยู่ระหว่างการตัดสินใจกลับมาเดินเครื่องโครงการลองเซินปิโตรเคมิคอลส์คอมเพล็กซ์ที่ประเทศเวียดนาม (LSP) แต่คงต้องติดตามสถานการณ์ข้อตกลงลดภาษีระหว่างสหรัฐอเมริกากับจีน (Temporary Tariff Rollback) ว่าหลัง 90 วัน จะเป็นอย่างไรต่อไป ซึ่งเป็นตัวแปรสำคัญ หลังจากก่อนหน้านี้การตั้งกำแพงภาษีทำให้อุตสาหกรรมปิโตรเคมีชะงักไปบ้าง

ทั้งนี้ ภาพรวมไตรมาส 2/2568 พบว่าธุรกิจปิโตรเคมีดีขึ้น ส่วนต่างราคา (สเปรด) ของ HDPE-Naphtha ดีขึ้น จากไตรมาสก่อนอยู่ที่ 320 เหรียญสหรัฐต่อตัน ขึ้นมาอยู่ที่ 360-390 เหรียญสหรัฐต่อตัน ขณะที่สเปรด PP-Naphtha จาก 326 เหรียญสหรัฐต่อตัน มาอยู่ที่ 340-390 เหรียญสหรัฐต่อตัน อย่างไรก็ตามซัพพลายใหม่ยังคงเข้ามาในตลาดอย่างต่อเนื่อง

ขณะที่ โครงการ LSP ที่เวียดนามนั้น ได้แก้ปัญหาด้วยการเพิ่มการใช้วัตถุดิบด้วยก๊าซอีเทน ได้ลงนามสัญญาซื้อขายอีเทนและท่าเรือส่งออก, เรือขนส่งก๊าซอีเทน (VLEC) จำนวน 5 ลำ และถังเก็บวัตถุดิบที่ถูกออกแบบโดยเฉพาะสำหรับบรรจุก๊าซอีเทนเรียบร้อยแล้ว ขณะที่การก่อสร้างถังจะเร่งทำให้เสร็จตามแผน หากสถานการณ์ยังลากยาวก็จะเดินเครื่องปลายปี 2570 แต่หากมาร์จิ้นดีขึ้น ก็พร้อมกลับมาเดินเครื่อง ซึ่งมาร์จิ้นตอนนี้พอไหว เพียงแต่รอลุ้นหลัง 90 วัน สถานการณ์จะเป็นอย่างไร และจะตัดสินใจว่าจะเดินหรือไม่เดินเครื่อง

“การเดินเครื่องโครงการ LSP ที่เวียดนาม มองว่าส่วนต่างราคาในขณะนี้ สามารถเดินเครื่องได้แล้ว แต่คงต้องจับตาดูสถานการณ์หลัง 90 วัน ว่าจะเป็นอย่างไร ทั้งนี้บริษัทไม่ได้คาดหวังกำไรมากมายจากโครงการ LSP แต่คาดหวังจะมีกระแสเงินสดเข้ามา” นายธรรมศักดิ์ กล่าว

สำหรับแนวโน้มผลการดำเนินงานในไตรมาส 2/2568 สถานการณ์ต่าง ๆ เริ่มดีขึ้น การปรับขึ้นราคาปูนในช่วงเดือน มี.ค.ที่ผ่านมา จะออกดอกผลเต็มที่ในช่วงไตรมาส 2/2568 จะเห็นมาร์จิ้นเริ่มปรับตัวดีขึ้น และคาดว่าจะผ่านจุดต่ำสุดแล้วในช่วงไตรมาส 1 ที่ผ่านมา แม้จะมีกำลังการผลิตใหม่ทยอยเข้ามา

อย่างไรก็ตาม ด้านสงครามการค้า ผลกระทบทางตรงต่อเอสซีจีมีเล็กน้อย เนื่องจากในปี 2567 มีการส่งออกไปสหรัฐฯ เพียง 1% จากยอดขายรวมของเอสซีจี ส่วนสถานการณ์ในช่วงไตรมาส 3-4 ของปีนี้ ยังน่ากังวล คาดการณ์ผลกระทบจากสงครามการค้าได้ยาก แต่บริษัทเตรียมความพร้อมทั้งกระแสเงินสด การปรับลดหนี้ การลดค่าใช้จ่ายต่าง ๆ รวมถึงการลงทุนจะทำอย่างระมัดระวัง โดยปีนี้บริษัทตั้งงบลงทุนไว้ที่ 30,000 ล้านบาท ซึ่งในไตรมาส 1/2568 ใช้งบลงทุนไปแล้ว 6,100 ล้านบาท ส่วนใหญ่ใช้ในการซ่อมบำรุงเครื่องจักรเพิ่มประสิทธิภาพ

Back to top button