
CPAXT ประกาศวิสัยทัศน์ “ผู้นำด้านอาหาร” ชูจุดแข็ง “ความคุ้มค่า” ของสินค้า
CPAXT เดินเกมรุกตลาด ปรับใหญ่ Own Brand "ARO" สู่ B2B & B2C ชู Omni Channel หนุน SME ไทยสู่การเป็น Food Leader เต็มตัว
นายธนิศร์ เจียรวนนท์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารธุรกิจ แม็คโคร ประเทศไทย และประธานคณะผู้บริหารกลุ่มสายงานการพาณิชย์สินค้า บริษัท ซีพี แอ็กซ์ตร้า จำกัด (มหาชน) หรือ CPAXT เปิดเผยถึงกลยุทธ์และการปรับตัวของแม็คโครในช่วงที่ผ่านมา รวมถึงแผนงานในอนาคต ว่า พฤติกรรมผู้บริโภคมีการเปลี่ยนแปลงไปมาก โดยมีเทรนด์ที่สำคัญคือ ผู้บริโภคต้องการประสบการณ์ที่ดีขึ้นในการมาซื้อของหรือช้อปปิ้ง ต้องการความสะดวกสบายมากขึ้น เห็นได้จากเทรนด์สินค้าพร้อมปรุง พร้อมทานที่เพิ่มสูงขึ้น รวมถึงต้องการสินค้าที่คุ้มค่า ตอบโจทย์ โดยเฉพาะในช่วงเศรษฐกิจถดถอยทั่วโลก นอกจากนี้ ผู้บริโภคไทยมีการเปลี่ยนสู่แพลตฟอร์มออนไลน์รวดเร็วกว่าประเทศเพื่อนบ้านในกลุ่ม ASEAN
ซีพี แอ็กซ์ตร้า ซึ่งมีทั้งแบรนด์แม็คโครและโลตัส ต้องการวางตำแหน่งตัวเองให้เป็น Food Leader หรือผู้นำด้านอาหารอย่างแท้จริง ในงาน THAIFEX ปีนี้ แม็คโครได้นำเสนอสินค้าอาหารสด สินค้าอาหารแห้ง รวมถึงสินค้า Ready-to-Eat (RTE) และ Ready-to-Cook (RTC) มากขึ้น เพื่อตอกย้ำการเป็น destination ของอาหาร
หนึ่งในกลยุทธ์สำคัญคือ การพัฒนาและปรับโฉม Own Brand โดยเฉพาะแบรนด์ ARO การพัฒนาสินค้า Own Brand ต้องทำความเข้าใจลูกค้า ทั้งผู้ประกอบการ (B2B) และผู้บริโภคทั่วไป (B2C) ทั่วโลก แม็คโครพยายามผลักดันให้เข้าใจลูกค้ากลุ่มคนรุ่นใหม่มากขึ้น โดยปรับแบรนด์ให้รู้สึก young ขึ้น และทำความเข้าใจจิตวิทยาของคน Gen Z เนื่องจากกลุ่ม Gen Z จะเป็นทั้งผู้บริโภคและผู้ประกอบการรุ่นใหม่ในอนาคต
อีกเรื่องที่ผลักดันคือ ความคุ้มค่า เนื่องจากเศรษฐกิจในช่วงนี้ไม่เอื้ออำนวย แม็คโครจึงต้องการผลักดันให้สินค้าที่จำหน่าย โดยเฉพาะ Own Brand คุ้มค่าและตอบโจทย์ลูกค้าอย่างแท้จริง อาจปรับเรื่องขนาดบรรจุภัณฑ์ (pack size) หรือเป็น multipack เพื่อให้ลูกค้ารู้สึกคุ้มค่าเมื่อซื้อไป ความสะดวกสบาย (convenience) ก็เป็นสิ่งสำคัญ สินค้าพร้อมปรุงพร้อมทาน ทั้งแบบแช่แข็ง (frozen) และแบบแห้ง (ambient) จะเพิ่มจำนวนมากขึ้นในปีนี้
แม็คโครยังมีการจับมือกับเชฟชื่อดังมากขึ้น โดยอาจมีสินค้า ARO แบบแช่แข็งที่ endorsement โดยเชฟ กลยุทธ์นี้ไม่เพียงตอบโจทย์ผู้บริโภคที่ต้องการอาหารคุณภาพในราคาคุ้มค่า แต่ยังช่วยสร้างรายได้เสริมให้กับร้านอาหารหรือเชฟที่อาจได้รับผลกระทบจากเศรษฐกิจชะลอตัวและการท่องเที่ยวที่ slow down ซึ่งเป็นการช่วยเหลือเศรษฐกิจ Food Service หรือ HoReCa
ในด้านการสร้างแบรนด์ ARO มีการปรับเปลี่ยนที่เห็นได้ชัดคือการใช้สี เดิม ARO เป็นที่รู้จักด้วยสีแดง แต่ปัจจุบันเริ่มมีสีน้ำเงินและสีทอง ARO สีทอง เน้นสินค้าพรีเมียมในราคาคุ้มค่า ส่วนการเปลี่ยนจาก ARO สีแดงสู่ ARO สีน้ำเงิน มาจากการศึกษาว่าสีน้ำเงินเป็นสัญลักษณ์ของ ความทันสมัย (modern) และ ความภักดี (loyalty) แม็คโครต้องการแสดงถึงความภักดีต่อคนไทยมา 36 ปี และต้องการจะอยู่เคียงข้างคนไทยต่อไปอีกยาวนาน รวมถึงแสดงให้เห็นถึงการเข้าสู่ยุคใหม่ที่ทันสมัยขึ้น การเปลี่ยนผ่านนี้จะเป็นแบบค่อยเป็นค่อยไป (phase by phase transition) การปรับแบรนดิ้ง ARO นี้ เพื่อให้เข้าถึงทั้ง B2B และ B2C มากขึ้น ตอบโจทย์ลูกค้าที่หลากหลาย
แม็คโครยังคงมุ่งมั่นเป็น Food Destination ไม่ใช่แค่สำหรับ B2B หรือ B2C แต่สำหรับทุกคนที่มีความรักในการทำอาหาร หรือเห็นว่าอาหารเป็นเรื่องสนุก เพื่อให้บรรลุเป้าหมายนี้ สินค้าที่นำมาจำหน่ายต้องมี รสชาติ (taste) ที่ดีเป็นสิ่งสำคัญที่สุด หากรสชาติไม่ถึงจะไม่นำมาจำหน่าย
นอกจาก Own Brand แล้ว แม็คโครยังนำเข้า exclusive brands จากต่างประเทศเข้ามาจำหน่าย เช่น Barilla พาสต้าอันดับ 1 จากอิตาลีและของโลก, Carbonell น้ำมันมะกอกอันดับ 1 ของโลกและสเปน, Haday ซอสปรุงรสอันดับ 1 จากประเทศจีน, และ Cuckoo หม้อหุงข้าวอันดับ 1 จากประเทศเกาหลีใต้ การคัดเลือก exclusive brands นี้ เพื่อให้ผู้บริโภคและผู้ประกอบการไทยได้รับวัตถุดิบหรือสินค้าที่ดีที่สุด
ด้าน Online และ Omnichannel แม็คโครมีการโปรโมทแพลตฟอร์ม Makro PRO ซึ่งในปี 2024 ได้ก้าวขึ้นเป็น Grocery E-commerce Platform อันดับ 1 ในประเทศไทย ซึ่งได้รับการยืนยันจาก Euromonitor แม็คโครต้องการแสดงให้เห็นว่า เป็นธุรกิจแบบ Omni-Channel ที่เชื่อมโยงทั้งช่องทางออฟไลน์และออนไลน์
สำหรับการ สนับสนุน SME ไทย แม็คโครมีการจับมือกับเกษตรกรและ SME ทั่วประเทศในการจัดหาสินค้า ทั้งอาหารสด เนื้อแช่แข็ง ผัก ผลไม้ นอกจากนี้ ยังต้องการจับมือกับ SME มากขึ้นในการจัดหาวัตถุดิบและนำมาแปรรูปเป็นสินค้าพร้อมปรุงพร้อมทาน เพื่อ ยกระดับ SME ไทย ยกตัวอย่างเช่น การจับมือกับ DBD (กรมพัฒนาธุรกิจการค้า) เพื่อนำผักผลไม้มาแปรรูป (ตัดแต่ง) เพื่อเพิ่มมูลค่าและเพิ่มกำไรให้กับเกษตรกร ซึ่งเป็นการช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจไทย.