
BTS วิ่ง 3 วันพุ่ง 4% รับข่าวปิดดีลกทม. ล้างหนี้ “สายสีเขียว” 3.2 หมื่นลบ.
BTS วิ่ง 3 วันบวก 4% รับข่าวกทม. เดินหน้าล้างหนี้รถไฟฟ้าสายสีเขียวส่วนต่อขยาย 3.2 หมื่นล้านบาท เสนอเข้าสภากทม. 10 ก.ย.นี้ ยุติมหากาพย์หนี้ O&M ด้าน BTS ขีดเส้นจ่ายเช็คไม่เกิน 31 ต.ค.นี้ ก่อนนำเงินไปต่อยอดโครงการใหม่
ผู้สื่อข่าวรายงาน วันนี้ (5 ก.ย.68) ราคาหุ้น บริษัท บีทีเอส กรุ๊ป โฮลดิ้งส์ จำกัด (มหาชน) หรือ BTS ณ เวลา 11.07 น. อยู่ที่ระดับ 3.28 บาท บวก 0.06 บาท หรือ 1.86% สูงสุดที่ระดับ 3.28 บาท ต่ำสุดที่ระดับ 3.22 บาท ด้วยมูลค่าการซื้อขาย 175.67 ล้านบาท โดยราคาหุ้นปรับตัวเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง 3 วันทำการ คิดเป็น 3.87% นับตั้งแต่ราคาปิดวันที่ 2 ก.ย.68
นายนภาพล จีระกุล สมาชิกสภากรุงเทพมหานคร (ส.ก.) เขตบางกอกน้อย ในฐานะประธานคณะกรรมการวิสามัญเพื่อศึกษาปัญหาของโครงการรถไฟฟ้าสายสีเขียว เปิดเผยกับ “ข่าวหุ้นธุรกิจ” ว่า การเจรจาระหว่าง กทม. และ BTS ได้ข้อสรุปแล้ว โดย BTS ตกลงที่จะลดดอกเบี้ยให้ในส่วนของค่าจ้างเดินรถและซ่อมบำรุง (O&M) รถไฟฟ้าสายสีเขียวส่วนต่อขยายที่ยังไม่ถูกฟ้องร้อง จากอัตราดอกเบี้ย MLR+1 (ประมาณ 8%) เหลือเพียง MLR (ประมาณ 7%) อย่างไรก็ตาม BTS ไม่สามารถลดหย่อนหนี้ในส่วนของเงินต้นและดอกเบี้ยของคดีเดิมได้ เนื่องจากได้ยื่นงบดุลและเสียภาษีไปแล้ว
สำหรับหนี้ที่ กทม.จะจ่ายครั้งนี้ จะครอบคลุมถึงเดือน ส.ค. 2568 รวมเป็นจำนวนเงินกว่า 32,000 ล้านบาท แบ่งเป็นหนี้ที่ถูกฟ้องร้องครั้งที่ 2 ส่วนต่อขยาย 1 และ 2 (เดินรถ มิ.ย. 2564-ต.ค. 2565) กทม. ค้างชำระจำนวนเงิน 1.2 หมื่นล้านบาท และที่เหลือเป็นหนี้หลังจากการฟ้องร้องครั้งที่ 2 ประมาณ 2 หมื่นล้านบาท
นายชัชชาติ สิทธิพันธุ์ ผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร จะยื่นข้อบัญญัติการเงินเพื่อขอใช้เงินสะสมของ กทม. ในการชำระหนี้ เข้าสภา กทม. ในวันที่ 10 ก.ย. 2568 เพื่อให้สภาฯ พิจารณาในวาระ 1 และ วันที่ 17 ก.ย. 2568 จะพิจารณาในวาระ 2 และ 3 หลังจากนั้นจะประกาศในราชกิจจานุเบกษา คาดชำระหนี้เสร็จภายในเดือนตุลาคม 2568 ซึ่งจะช่วยยุติภาระดอกเบี้ยที่เพิ่มขึ้นต่อเนื่องกว่า 160 ล้านบาทต่อเดือน จากการค้างชำระหนี้ก่อนหน้านี้
“กระบวนการชำระหนี้ทั้งหมดจะแล้วเสร็จภายในเดือนตุลาคม 2568 โดยเมื่อข้อบัญญัติผ่านสภาแล้ว BTS จะระงับการคิดดอกเบี้ยเพิ่มเติมจากยอดหนี้ที่ตกลงกันไว้ หลังจากชำระหนี้ครั้งนี้ กทม.ก็จะไม่มีหนี้ค้างชำระกับบีทีเอสอีกต่อไป” นายชัชชาติ กล่าว
นอกจากนี้ หลังจากการชำระหนี้ก้อนใหญ่แล้ว กทม.จะเริ่มชำระค่าจ้างเดินรถและบำรุงรักษาในส่วนต่อขยายเป็นรายเดือน เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดหนี้ค้างชำระอีกในอนาคต โดยคาดว่าจะจ่ายให้ BTS ประมาณ 800 ล้านบาทต่อเดือน
สำหรับนโยบายค่าโดยสาร 20 บาทตลอดสายนั้น นายนภาพล กล่าวว่า หากรัฐบาลจะดำเนินนโยบายนี้ จะต้องมีการชดเชยส่วนต่างค่าโดยสารให้กับ กทม. อย่างต่อเนื่อง เนื่องจากต้นทุนการเดินรถต่อคนของ กทม. อยู่ที่ประมาณ 45 บาท ซึ่งหากรัฐบาลไม่รับผิดชอบภาระส่วนนี้ อาจสร้างความเสียหายทางการเงินให้กับ กทม. และอาจไม่ยั่งยืนในระยะยาว
นายสุรพงษ์ เลาหะอัญญา ผู้อำนวยการใหญ่สายธุรกิจ MOVE และกรรมการผู้อำนวยการใหญ่ บริษัท ระบบขนส่งมวลชนกรุงเทพ จำกัด (มหาชน) หรือ BTSC เปิดเผยกับ “ข่าวหุ้นธุรกิจ” ว่า การเจรจาหนี้ระหว่าง BTS และ กทม.ได้ข้อสรุปแล้ว โดยทาง กทม. ตกลงที่จะชำระหนี้ทั้งหมด รวม 32,000 ล้านบาท โดยหนี้หลังจากวันที่ 31 มีนาคม 2568 ทาง BTS จะลดอัตราดอกเบี้ยให้จาก MLR+1 เหลือเพียง MLR โดย กทม.จะต้องชำระหนี้ทั้งหมดไม่เกินวันที่ 31 ตุลาคม 2568
สำหรับเงินที่ได้รับ 32,000 ล้านบาท จะนำไปใช้หนี้ที่ถึงกำหนดก่อน ส่วนที่เหลือจะนำไปพักไว้ และใช้เมื่อถึงกำหนดชำระหนี้ต่อไป และมีเงินทุนหมุนเวียนสำหรับโครงการลงทุนในอนาคต เช่น โครงการเมืองการบินอู่ตะเภา ความตั้งใจของบริษัทยังคงมีความต้องการที่จะดำเนินโครงการนี้ เนื่องจากมีการลงทุนไปมากแล้ว นอกจากนี้ เงินที่ได้รับจาก กทม.ยังส่งผลดีต่อสภาพคล่องของบริษัทจะดีขึ้นอย่างมาก
ส่วนนโยบายค่าโดยสาร 20 บาทตลอดสาย ยังต้องรอความชัดเจนจากรัฐบาลใหม่ เพราะต้องนำเรื่องเข้าคณะรัฐมนตรี (ครม.) เพื่อขออนุมัติอย่างเป็นทางการอีกครั้ง หลังจากที่เคยเข้า ครม.และได้รับการอนุมัติในหลักการไปแล้วประเด็นที่ต้องพิจารณา ต้องมีการระบุตัวเลขที่ชัดเจน แหล่งที่มาของเงินชดเชยและการพิจารณากฎหมายที่เกี่ยวข้อง ร่าง พ.ร.บ.ตั๋วร่วม และร่าง พ.ร.บ.การรถไฟฟ้าขนส่งมวลชน ซึ่งรัฐบาลชุดเดิม เคยคาดว่าจะแล้วเสร็จประมาณ 15 พฤศจิกายน
“บริษัทได้มีการเจรจาและมีข้อเสนอเบื้องต้นแล้ว แต่ทั้งสองฝ่ายยังต้องรอการอนุมัติจากฝ่ายของตนเอง” นายสุรพงษ์ กล่าว