
CPF เด้ง 2% รับข่าวทุ่มงบ 8 พันลบ. เดินหน้า “ซื้อหุ้นคืน” 350 ล้านหุ้น
CPF บวก 2% หลังบอร์ดไฟเขียวอนุมัติวงเงิน 8,000 ล้านบาท ซื้อหุ้นคืนไม่เกิน 350 ล้านหุ้น คิดเป็นสัดส่วน 4.16% ของจำนวนหุ้นทั้งหมด เริ่มซื้อหุ้นคืนวันที่ 8 ต.ค. 68 ถึงวันที่ 7 เม.ย. 69 เพื่อเพิ่มผลตอบแทนให้แก่ผู้ถือหุ้น ฟากโบรกคงคำแนะนำ “ซื้อ” ให้ราคาเป้าหมาย 27 บาท
ผู้สื่อข่าวรายงาน วันนี้ (3 ต.ค.68) ราคาหุ้น บริษัท เจริญโภคภัณฑ์อาหาร จำกัด (มหาชน) หรือ CPF ณ เวลา 10:07 น. อยู่ที่ระดับ 22.80 บาท บวก 0.50 บาท หรือ 2.24% สูงสุดที่ระดับ 22.90 บาท ต่ำสุดที่ระดับ 22.60 บาท ด้วยมูลค่าการซื้อขาย 83.67 ล้านบาท
โดยราคาหุ้นปรับตัวขึ้นภายหลัง นายกอบบุญ ศรีชัย เลขานุการ CPF เปิดเผยว่า ที่ประชุมคณะกรรมการบริษัท ครั้งที่ 7/2568 เมื่อวันที่ 2 ตุลาคม 2568 ได้มีมติอนุมัติโครงการซื้อหุ้นคืน (Treasury Stock) ประสิทธิผลในวงเงินไม่เกิน 8,000 ล้านบาท เพื่อซื้อหุ้นคืนจำนวนไม่เกิน 350 ล้านหุ้น มูลค่าที่ตราไว้หุ้นละ 1 บาท คิดเป็นสัดส่วน 4.16% ของหุ้นที่จำหน่ายได้ทั้งหมด เพื่อสร้างผลตอบแทนให้แก่ผู้ถือหุ้น (Shareholder returns) โดยการบริหารทางการเงินให้เกิดประสิทธิผลดังกล่าว
กำหนดระยะเวลาที่จะซื้อหุ้นคืนตั้งแต่วันที่ 8 ตุลาคม 2568 ถึงวันที่ 7 เมษายน 2569 (บริษัทต้องดำเนินการให้แล้วเสร็จภายใน 6 เดือน) ซึ่งหลักเกณฑ์ในการกำหนดราคาหุ้นที่จะซื้อคืน ให้นำราคาหุ้นเฉลี่ยย้อนหลัง 30 วันก่อนวันที่บริษัทจะทำการเปิดเผยข้อมูลมาประกอบการพิจารณากำหนดราคาหุ้นด้วย และราคาซื้อหุ้นคืนจะต้องไม่เกินกว่าราคาปิดของหุ้นเฉลี่ย 5 วันทำการซื้อขายก่อนหน้าวันที่ทำรายการซื้อหุ้นคืนบวกด้วยจำนวน 15% ของราคาปิดเฉลี่ยดังกล่าว
ทั้งนี้ เพื่อเป็นข้อมูลประกอบการพิจารณา ราคาปิดของหุ้นเฉลี่ยย้อนหลัง 30 วันทำการ ตั้งแต่วันที่ 21 สิงหาคม 2568 ถึงวันที่ 1 ตุลาคม 2568 เท่ากับ 23 บาทต่อหุ้น ส่วนจำนวนผู้ถือหุ้นสามัญรายย่อย (Free float) ณ วันที่คณะกรรมการกำหนด เพื่อกำหนดรายชื่อผู้ถือหุ้นล่าสุดเมื่อวันที่ 1 กันยายน 2568 เท่ากับ 48.07% ของทุนชำระแล้วของบริษัท
สำหรับผลกระทบภายหลังซื้อหุ้นคืน มี 2 ส่วน คือ 1. ผู้ถือหุ้นจะเพิ่มผลตอบแทนให้แก่ผู้ถือหุ้นจากการลดลงของจำนวนหุ้นหมุนเวียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย เนื่องจากการซื้อหุ้นคืน ซึ่งจะทำให้กำไรต่อหุ้น (EPS) และอัตราผลตอบแทนต่อส่วนของผู้ถือหุ้น (ROE) ดีขึ้น รวมทั้งผู้ถือหุ้นยังมีโอกาสได้รับเงินปันผลต่อหุ้นที่สูงขึ้น และ 2. บริษัทจะสามารถบริหารโครงสร้างเงินทุนให้อยู่ในระดับที่เหมาะสม หากดำเนินการซื้อหุ้นคืนได้ครบตามวงเงินที่ได้ระบุได้ทั้งหมด เมื่อสิ้นสุดโครงการการซื้อหุ้นคืน มูลค่าทางบัญชีของส่วนของผู้ถือหุ้นของบริษัทจะลดลงเป็นจำนวนเท่ากับวงเงินดังกล่าว
ขณะที่ ข้อมูลกำไรสะสมและสภาพคล่องส่วนเกินของบริษัทจากงบเฉพาะกิจการฉบับสอบทานงวดล่าสุด ณ วันที่ 30 มิถุนายน 2568 บริษัทมีกำไรสะสม 53,472 ล้านบาท และมีหนี้สินที่ถึงกำหนดชำระภายใน 6 เดือนนับตั้งแต่วันที่จะเริ่มซื้อหุ้นคืน 15,065 ล้านบาท
โดยความสามารถในการชำระหนี้ของบริษัทที่ถึงกำหนดชำระภายใน 6 เดือน นับแต่วันที่จะเริ่มชื้อหุ้นคืนนั้น ณ วันที่ 30 มิถุนายน 2568 บริษัทมีเงินสด และรายการเทียบเท่าเงินสดคงเหลือ จำนวน 1,447 ล้านบาท ซึ่งยังไม่รวมกระแสเงินสดสิทธิจากการดำเนินงาน จากการลงทุน และจากการรับคืนเงินกู้ยืมจากบริษัทย่อย ซึ่งคาดว่าจะได้รับในอีก 6 เดือนนับแต่วันที่จะเริ่มซื้อหุ้นคืนอีกประมาณ 15,000 ล้านบาท ดังนั้นบริษัทจึงมีสภาพคล่องเพียงพอในการชำระหนี้ที่จะถึงกำหนดชำระภายใน 6 เดือนนับแต่วันที่จะเริ่มซื้อหุ้นคืน และมีเงินสดคงเหลือเพียงพอต่อการซื้อหุ้นคืนตามโครงการ
ด้านความเห็นจาก บริษัทหลักทรัพย์ บัวหลวง จำกัด (มหาชน) หรือ BLS ระบุผ่านบทวิเคราะห์ถึง CPF ว่า บริษัทฯ สามารถใช้สภาพคล่องส่วนเกิน โดยไม่กระทบความสามารถในการชำระหนี้ที่ถึงกำหนดชำระภายใน 6 เดือนข้างหน้า จำนวน 15,000 ล้านบาท และ ณ สิ้นงวดไตรมาส 2/68 มี IBD/E ที่ 1.8 เท่า ขณะที่หันเทรดบน PER เพียง 6 เท่า ทั้งนี้คงคำแนะนำ “ซื้อ” ให้ราคาเป้าหมาย 27 บาท จาก Valuation ที่ถูก