3 หุ้นค้าปลีกวิ่ง! รับอานิสงส์ “คนละครึ่งพลัส” ดันเม็ดเงินสะพัด 8 หมื่นล้าน

BJC-ICHI-TKN วิ่ง! รับอานิสงส์ “คนละครึ่งพลัส” เต็มสูบ! เริ่มช้อป 29 ต.ค.68 มั่นใจงบฯ 4.4 หมื่นล้านบาท ดันเงินสะพัดกว่า 8.8 หมื่นล้านบาท ดันจีดีพีไตรมาส 4/68 โตอีก 0.22%


ผู้สื่อข่าวรายงานว่า วันนี้ (8 ต.ค.68) ณ เวลา 10:18 น. ราคาหุ้น บริษัท เบอร์ลี่ ยุคเกอร์ จำกัด (มหาชน) หรือ BJC อยู่ที่ระดับ 20.40 บาท บวก 0.30 บาท หรือ 1.49% สูงสุดที่ระดับ 20.40 บาท ต่ำสุดที่ระดับ 20.10 บาท ด้วยมูลค่าการซื้อขาย 12.20 ล้านบาท

บริษัท อิชิตัน กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) หรือ ICHI อยู่ที่ระดับ 13.20 บาท บวก 0.10 บาท หรือ 0.76% สูงสุดที่ระดับ 13.30 บาท ต่ำสุดที่ระดับ 13.10 บาท ด้วยมูลค่าการซื้อขาย 11.11 ล้านบาท

บริษัท เถ้าแก่น้อย ฟู๊ดแอนด์มาร์เก็ตติ้ง จำกัด (มหาชน) หรือ TKN อยู่ที่ระดับ 5.65 บาท บวก 0.05 บาท หรือ 0.89% สูงสุดที่ระดับ 5.65 บาท ต่ำสุดที่ระดับ 5.65 บาท ด้วยมูลค่าการซื้อขาย 0.74 ล้านบาท

นายเอกนิติ นิติทัณฑ์ประภาศ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง เปิดเผยภายหลังการประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) วานนี้ว่า ครม.มีมติเห็นชอบโครงการ “คนละครึ่งพลัส” ภายใต้วงเงินงบประมาณไม่เกิน 44,000 ล้านบาท สำหรับกลุ่มเป้าหมายจำนวนไม่เกิน 20 ล้านคน โดยมีรายละเอียดโครงการฯ คือ

1.ระยะเวลาโครงการฯ ตั้งแต่วันที่ 15 ต.ค.-31 ธ.ค. 2568 โดยเปิดรับลงทะเบียนร้านค้าตั้งแต่วันที่ 15 ต.ค.-19 ธ.ค. 2568, เปิดรับลงทะเบียนประชาชนตั้งแต่วันที่ 20 ต.ค.-26 ต.ค. 2568 (เวลา 06.00-22.00 น.), ประชาชนใช้สิทธิโครงการฯ ได้ตั้งแต่วันที่ 29 ต.ค.-31 ธ.ค. 2568 (เวลา 06.00-23.00 น.) โดยสามารถซื้ออาหาร เครื่องดื่ม สินค้า และบริการที่กำหนดจากร้านค้าที่เข้าร่วมโครงการฯ สำหรับการซื้ออาหารหรือเครื่องดื่มผ่านผู้ให้บริการระบบขนส่งอาหาร (Food Delivery Platform) ที่ได้รับอนุมัติให้เข้าร่วมโครงการฯ ผ่านแอปพลิเคชัน “เป๋าตัง” สามารถใช้สิทธิได้ตั้งแต่วันที่ 7 พ.ย.-31 ธ.ค. 2568 (เวลา 06.00-21.00 น.)

2.กลุ่มเป้าหมาย ประกอบด้วย 2.1 ประชาชนผู้ยื่นแบบแสดงรายการภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาสำหรับผู้มีเงินได้กรณีทั่วไป (ภ.ง.ด. 90) แบบแสดงรายการภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาสำหรับผู้มีเงินได้จากการจ้างแรงงานตามมาตรา 40 (1) แห่งประมวลรัษฎากร ประเภทเดียว (ภ.ง.ด. 91) หรือแบบแสดงรายการภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาสำหรับผู้ได้รับสิทธิลดอัตราภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา (ภ.ง.ด. 95) ของปีภาษี 2567 ตามฐานข้อมูลของกรมสรรพากร ณ วันที่ 30 มิ.ย. 2568

และ 2.2 ประชาชนทั่วไป ทั้งนี้ กลุ่มเป้าหมายตามข้อ 2.1 และข้อ 2.2 ต้องมีคุณสมบัติ คือ 1) เป็นผู้มีสัญชาติไทย 2) มีอายุตั้งแต่ 16 ปีบริบูรณ์ขึ้นไป ณ วันที่ลงทะเบียน 3) มีบัตรประจำตัวประชาชน 4) ไม่เป็นผู้มีบัตรสวัสดิการแห่งรัฐตามฐานข้อมูลของกระทรวงการคลัง ณ วันที่ 1 ต.ค. 2568 และ 5) ไม่เป็นผู้ที่ถูก สศค. ระงับสิทธิหรือถูกเรียกเงินคืนในโครงการคนละครึ่ง ระยะที่ 1-5

3.การใช้จ่าย ภาครัฐสนับสนุนเงินร่วมจ่ายค่าอาหาร เครื่องดื่ม สินค้า และบริการที่กำหนด ให้แก่ประชาชนกลุ่มเป้าหมายจำนวนไม่เกิน 20 ล้านคน ในอัตราร้อยละ 50 ทั้งนี้ ไม่เกิน 200 บาทต่อคนต่อวัน แต่ไม่เกินจำนวนวงเงินสิทธิที่กำหนด โดยประชาชนผู้ยื่นแบบ ภ.ง.ด. 90 ภ.ง.ด. 91 หรือ ภ.ง.ด. 95 ในปีภาษี 2567 จะได้รับวงเงินสิทธิไม่เกิน 2,400 บาทต่อคน และประชาชนทั่วไปจะได้รับวงเงินสิทธิไม่เกิน 2,000 บาทต่อคน ตลอดระยะเวลาใช้จ่ายของโครงการฯ

ซึ่งประชาชนกลุ่มเป้าหมายสามารถใช้สิทธิในโครงการฯ ผ่านแอปพลิเคชัน “เป๋าตัง” เพื่อซื้ออาหาร เครื่องดื่ม สินค้า และบริการที่กำหนดจากร้านค้าที่เข้าร่วมโครงการฯ หรือซื้ออาหารหรือเครื่องดื่มจากร้านค้าที่เข้าร่วมโครงการฯ ผ่านผู้ให้บริการระบบขนส่งอาหาร (Food Delivery Platform) ที่ได้รับอนุมัติให้เข้าร่วมโครงการฯ โดยรับชำระเงินผ่านแอปพลิเคชัน “ถุงเงิน” ซึ่งกระทรวงการคลังโดยกรมบัญชีกลางจะดำเนินการโอนเงินในส่วนที่ภาครัฐร่วมจ่ายให้แก่ร้านค้าที่เข้าร่วมโครงการฯ ภายในระยะเวลาที่กำหนดต่อไป

“การดำเนินโครงการฯ จะทำให้มีเม็ดเงินลงสู่ระบบเศรษฐกิจจำนวน 88,000 ล้านบาท กระตุ้นให้เศรษฐกิจขยายตัวเพิ่มขึ้นประมาณ 0.22%” นายเอกนิติ กล่าว

นายเทิดศักดิ์ ทวีธีระธรรม รองกรรมการผู้อำนวยการ สายงานวิจัย บริษัทหลักทรัพย์ เอเซีย พลัส จำกัด กล่าวว่า วานนี้ ครม.อนุมัติโครงการคนละครึ่งพลัส วงเงินงบฯ 44,000 ล้านบาท (มาจากงบกระตุ้นเศรษฐกิจปี 2569 จำนวน 25,000 ล้านบาท และงบกลางปี 2568 จำนวน 19,000 ล้านบาท) ครอบคลุมประชาชน 20 ล้านคน

สำหรับกลุ่มผู้ที่อยู่นอกระบภาษี รัฐบาลสมทบ 2,000 บาท ประชาชนเติม 2,000 บาท และกลุ่มผู้ที่ยื่นแบบภาษี รัฐบาลสมทบ 2,400 บาท ประชาชนเติม 2,000 บาท ทั้งหมดใช้ผ่านแอปฯ เป๋าตัง ไม่เกินวันละ 200 บาท เริ่มลงทะเบียนร้านค้า 15 ต.ค. (ร้านอาหาร เครื่องดื่ม นวดสปา ทำผม ขนส่งสาธารณะ นิติบุคลรายย่อย ยกเว้น 7-11 และร้านสะดวกซื้อรายใหญ่) ประชาชนลงทะเบียน 20-26 ต.ค. และเริ่มใช้จ่าย 29 ต.ค.-31 ธ.ค. 2568 คาดช่วยเพิ่ม GDP ราว 0.3-0.4% และเมื่อรวมกับบัตรสวัสดิการแห่งรัฐจะครอบคลุมประชากร 33.4 ล้านคน ทั้งนี้ มาตรการดังกล่าวส่งผลบวกต่อ BJC, ICHI, TKN

Back to top button