TFM วิ่งต่อ 2% หลังกำไร Q3 ออลไทม์ไฮ 223 ล้านบาท รับยอดขายพุ่ง-ค่าใช้จ่ายลด

TFM บวกต่อ 2% หลังแจ้งงบไตรมาส 3/68 ออลไทม์ไฮกำไรสุทธิ 223 ล้านบาท เติบโต 47.8% และมียอดขาย 1,694 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 21.9% หนุน 9 เดือนแรกปีนี้มีกำไรสุทธิ 549 ล้านบาท เติบโต 42.8% และมียอดขายรวม 4,401 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 11.8% ตอกย้ำการเป็นผู้นำธุรกิจอาหารสัตว์น้ำยั่งยืน มั่นใจปีนี้ยอดขายเติบโต 7–9%


ผู้สื่อข่าวรายงานว่า วันนี้ (3 พ.ย.68) ราคาหุ้น บริษัท ไทยยูเนี่ยน ฟีดมิลล์ จำกัด (มหาชน) หรือ TFM ณ เวลา 10:09 น. อยู่ที่ระดับ 6.10 บาท บวก 0.10 บาท หรือ 1.67% สูงสุดที่ระดับ 6.15 บาท ต่ำสุดที่ระดับ 6 บาท ด้วยมูลค่าการซื้อขาย 1.87 บาท

นายพีระศักดิ์ บุญมีโชติ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร TFM เปิดเผยว่า ผลการดำเนินงานไตรมาส 3/2568 เป็นไตรมาสที่บริษัทประสบความสำเร็จ สามารถทำยอดขาย และกำไรสุทธิสูงสุดเป็นประวัติการณ์ โดยมีกำไรสุทธิอยู่ที่ 223 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 47.8% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน ที่มีกำไรสุทธิ 151 ล้านบาท และเติบโต 15.3% จากไตรมาสก่อน ที่มีกำไรสุทธิ 194 ล้านบาท เนื่องจากยอดขายที่สูงขึ้น การบริหารต้นทุน ประสิทธิภาพการผลิตที่ดีขึ้น และการปรับโครงสร้างผลิตภัณฑ์

โดยในไตรมาส 3/2568 บริษัทมีอัตรากำไรขั้นต้นอยู่ที่ 21.8% ปรับตัวเพิ่มขึ้น 2.6% จากช่วงเดียวกันของปีก่อนอยู่ที่ 19.2%  โดยส่วนใหญ่มาจากการเพิ่มขึ้นของอัตรากำไรในทุกกลุ่มธุรกิจ ซึ่งเกิดจากยอดขายและปริมาณที่เติบโตอย่างแข็งแกร่ง สัดส่วนยอดขายผลิตภัณฑ์ที่มีอัตรากำไรสูงเพิ่มขึ้น และต้นทุนวัตถุดิบที่ลดลง และส่งผลให้มีอัตรากำไรสุทธิไตรมาส 3/2568 อยู่ที่ 13.2% เพิ่มขึ้น 2.3% จากช่วงเดียวกันของปีก่อนอยู่ที่ 10.9% สะท้อนถึงประสิทธิภาพการดำเนินงานที่ต่อเนื่อง

นอกจากนี้สัดส่วนค่าใช้จ่ายในการขายและบริหารต่อยอดขายลดลงเหลือ 7.1% จาก 7.9% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน สะท้อนประสิทธิภาพการควบคุมต้นทุน และอัตราภาษีที่แท้จริงลดลง หลังจากเริ่มดำเนินโครงการที่ได้รับการส่งเสริมการลงทุน (BOI) สำหรับการผลิตอาหารกุ้งที่โรงงานสงขลา และอาหารปลาที่โรงงานสมุทรสาคร และอัตราส่วนหนี้สินต่อส่วนของผู้ถือหุ้นเพียง 0.46 เท่า

ขณะที่ในไตรมาส 3/2568 บริษัทมียอดขายสูงสุดเป็นประวัติการณ์อยู่ที่ 1,694 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 21.9% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน ที่มียอดขายรวม 1,390 ล้านบาท เนื่องจากได้รับแรงหนุนจากยอดขายที่แข็งแกร่งในทุกกลุ่มธุรกิจ ยกเว้นอาหารสัตว์บก โดยมียอดขายอาหารกุ้งอยู่ที่ 1,133 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 29.4% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน อยู่ที่ 876 ล้านบาท ซึ่งมาจากความต้องการในประเทศที่แข็งแกร่งของลูกค้ารายสำคัญ รวมถึงยอดส่งออกจากไทย และมียอดขายอาหารปลาอยู่ที่ 460 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 16.3% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน อยู่ที่ 395 ล้านบาท  ซึ่งมาจากปริมาณขายอาหารปลากะพงที่เพิ่มขึ้น สะท้อนการขยายส่วนแบ่งตลาด และความเป็นผู้นำของ TFM ในตลาดอาหารปลากะพง

ส่วนผลการดำเนินงานในช่วง 9 เดือนแรกของปี 2568 บริษัทมียอดขายรวม 4,401 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 11.8% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน และมีกำไรสุทธิ 549 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 42.8% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน

นายพีระศักดิ์ เปิดเผยต่อว่า เป้าหมายผลการดำเนินงานในปี 2568 บริษัทคาดว่ายอดขายจะเติบโต 7–9% จากปีก่อน โดยได้รับแรงหนุนจากโมเมนตัมที่แข็งแกร่งของธุรกิจอาหารกุ้งและอาหารปลาในประเทศไทย รวมถึงการฟื้นตัวของความต้องการในอินโดนีเซียหลังการระบาดของโรค

ขณะที่อัตรากำไรขั้นต้น (GPM) คาดว่าจะทำสถิติสูงสุดใหม่อยู่ที่ระดับ 19-21% โดยได้รับแรงหนุนจากผลผลิตการผลิตที่ดีขึ้น พอร์ตโฟลิโอที่มีคุณภาพ การปรับต้นทุนผลิตภัณฑ์ และการบริหารจัดการต้นทุนวัตถุดิบอย่างมีประสิทธิภาพ ด้านสัดส่วนค่าใช้จ่ายจากการขายและบริหาร (SG&A) ต่อยอดขายคาดว่าจะอยู่ในช่วง 8–10% สะท้อนถึงการดำเนินการลดต้นทุนอย่างต่อเนื่องเพื่อสมดุลกับค่าใช้จ่ายด้านการขายและการตลาดที่เพิ่มขึ้นเพื่อสนับสนุนการเติบโตเพิ่มเติม นอกจากนี้ใช้งบลงทุนกับ 2 โครงการ BOI ได้แก่ โครงการอาหารกุ้งที่ระโนด และอาหารปลาที่มหาชัย รวมถึงมาตรการด้านความปลอดภัยในทุกโรงงาน

“จากความสามารถในการขับเคลื่อนธุรกิจและสร้างผลงานอันโดดเด่นของบริษัทฯ ในการบริหารจัดการจนเป็นที่ยอมรับอย่างต่อเนื่องทั้งในประเทศและระดับสากล ส่งผลให้ บริษัทฯ สามารถคว้ารางวัลสำคัญ ได้แก่ รางวัลสุดยอด CEO รุ่นใหญ่ สาขาเกษตรและอุตสาหกรรมอาหาร จากงาน CEO Econmass Awards 2025 และรางวัล Thailand’s Best Managed Companies 2025 จากดีลอยท์ ต่อเนื่องเป็นปีที่ 3 สะท้อนความเป็นผู้นำที่มุ่งพัฒนาองค์กรสู่ความยั่งยืนในระดับสากลอย่างแท้จริง” นายพีระศักดิ์ กล่าว

Back to top button