SET พรุ่งนี้ผันผวน จับตาแรงซื้อกลุ่มสื่อสารดันดัชนี

โบรกฯแนะแนวโน้มการลงทุนในวันพรุ่งนี้ (24 มี.ค.) เชื่อว่าตลาดจะผันผวน โดยคาดว่าดัชนีจะแกว่งในกรอบได้ทั้งแดนบวก-ลบ แนะนำจับตาหุ้นกลุ่มสื่อสาร หากมีแรงซื้อเพิ่มจะเป็นแรงเสริมให้กับตลาดได้ พร้อมให้แนวรับ 1,394 จุด ส่วนแนวต้าน 1,413-1,430 จุด


นายธีรวุฒิ กานต์นิภากุล ผู้อำนวยการอาวุโสฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล.ซีไอเอ็มบี (ประเทศไทย) เปิดเผยถึงตลาดหุ้นไทยวันนี้ (23 มี.ค.) ถือว่าผันผวน ระหว่างวันมีแรงขายออกมาหลังจากเงินบาทแข็งค่าขึ้น ทำให้กังวล Flow ไหลออก ประกอบกับมีแรงขายกลุ่มสื่อสารหลังราคาปรับตัวขึ้นไปเร็ว แต่ช่วงท้ายดัชนีฯดีดตัวขึ้นมายืนเหนือ 1,400 จุด เป็น Sentiment บวกในทางเทคนิค โดยตลาดรับแรงซื้อจากหุ้นในกลุ่มแบงก์และพลังงานเป็นการสลับกลุ่มเล่น

ทั้งนี้ ดัชนีฯเมื่อขึ้นมาอยู่เหนือ 1,400 จุด ค่า P/E อยู่ที่กว่า 15 เท่า ขณะที่คาดการณ์กำไรของบริษัทจดทะเบียนในตลาดฯในปีนี้เติบโตกว่า 20% ถือว่ายังพอรับได้กับการเทรดที่ดัชนีแถวนี้ แต่มองว่า Upside ของหุ้นขนาดใหญ่เริ่มจำกัดแล้ว ดังนั้นที่ระดับนี้หุ้นขนาดกลาง-เล็กน่าจะคึกคักกว่า ส่วนกลุ่มพลังงานยังต้องขึ้นกับราคาน้ำมัน

ด้านตลาดหุ้นอื่นในภูมิภาคเอเชียวันนี้เคลื่อนไหวทั้งในแดนบวก-ลบ มีประเด็นจับตาเรื่องธนาคารกลางสหรัฐฯ (FED) จะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยในเดือนเม.ย.นี้หรือไม่ แต่หากไม่ปรับขึ้น ตลาดมีโอกาสที่จะขึ้นไปต่อได้ อย่างไรก็ตาม คงจะต้องขึ้นอยู่กับตัวเลขเศรษฐกิจของสหรัฐฯด้วย ส่วนเหตุการณ์ระเบิดในเบลเยียมคงแค่ตกใจในช่วงสั้นเท่านั้น

“ต่อไปตลาดน่าจะได้รับแรงผลักดันจากปัจจัยในประเทศมากกว่า เนื่องจากเห็นว่าจะมีโครงการรถไฟฟ้า 3-4 สายเข้าครม.ในช่วงปลายเดือนนี้ และยังจะมีมาตรการช้อปช่วยชาติอีก ซึ่งน่าจะเป็น Positive ให้กับตลาดได้” นายธีรวุฒิกล่าว

แนวโน้มการลงทุนในวันพรุ่งนี้ (24 มี.ค.) เชื่อว่าตลาดจะผันผวน โดยคาดว่าดัชนีจะแกว่งในกรอบได้ทั้งแดนบวก-ลบ แนะนำจับตาหุ้นกลุ่มสื่อสาร หากมีแรงซื้อเพิ่มจะเป็นแรงเสริมให้กับตลาดได้ พร้อมให้แนวรับ 1,394 จุด ส่วนแนวต้าน 1,413-1,430 จุด

 

หลักทรัพย์ที่มีมูลค่าการซื้อขายสูงสุด 5 อันดับแรก

ADVANC ปิดที่ 188.50 บาท ลดลง 1.50 บาท

JAS ปิดที่ 3.56 บาท ลดลง 0.12 บาท          

AOT ปิดที่ 397.00 บาท เพิ่มขึ้น 3.00 บาท

DTAC ปิดที่ 47.75 บาท เพิ่มขึ้น 0.25 บาท

TRUE ปิดที่ 8.30 บาท เพิ่มขึ้น 0.30 บาท

 

ที่มา: สำนักข่าวอินโฟเควสท์

Back to top button