ข่าวดี ข่าวร้ายพลวัต 2016

นายพิชัย นริพทะพันธุ์ อดีต รมว.พลังงาน สมัยรัฐบาลยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ถือเป็นหนึ่งในคนจำนวนน้อยที่กล้าออกมาวิพากษ์นโยบายเศรษฐกิจของรัฐบาลปัจจุบันต่อเนื่อง แม้จะเผชิญกับการที่ทหารในกองทัพใช้อำนาจ “เชิญตัว” ไปปรับทัศนคติต่อเนื่องในระดับหัวแถว


วิษณุ โชลิตกุล

 

นายพิชัย นริพทะพันธุ์ อดีต รมว.พลังงาน สมัยรัฐบาลยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ถือเป็นหนึ่งในคนจำนวนน้อยที่กล้าออกมาวิพากษ์นโยบายเศรษฐกิจของรัฐบาลปัจจุบันต่อเนื่อง แม้จะเผชิญกับการที่ทหารในกองทัพใช้อำนาจ “เชิญตัว” ไปปรับทัศนคติต่อเนื่องในระดับหัวแถว

ล่าสุด คำให้สัมภาษณ์เมื่อวันที่ 24 ตุลาคมของนายพิชัย ก็เป็นข่าวใหญ่อีกครั้ง เมื่อออกมากล่าวอย่างห่วงใยว่าเศรษฐกิจในช่วงปลายปีจะทรุดหนัก เพราะเครื่องยนต์ทางเศรษฐกิจทำท่าจะดับทุกเครื่องแล้ว เพราะการบริโภคภายในประเทศลดต่ำลงมากจากรายได้ประชาชนที่ลดลง โดยเฉพาะราคาข้าวที่ตกต่ำมาก การส่งออกยังคงจะติดลบในปีนี้ การลงทุนภาคเอกชนยังอยู่ในระดับต่ำมาก อีกทั้งเครื่องยนต์เศรษฐกิจเดิมที่เคยพึ่ง เช่น การท่องเที่ยว ก็ปรากฏว่าจำนวนนักท่องเที่ยวมีปริมาณลดลงมาก และการใช้จ่ายภาครัฐในโครงการต่างๆ ก็ชะงักงัน จึงอยากให้รัฐบาลได้พิจารณาออกมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจที่เหมาะสมก่อนที่จะสายเกินไป

นายพิชัยตั้งข้อสังเกตว่า รัฐบาลได้ใช้จ่ายเงินจำนวนมหาศาลหลายแสนล้านบาทอัดฉีดเข้าไปในระบบเศรษฐกิจ อีกทั้งในโครงการประชารัฐ แต่เศรษฐกิจกลับไม่ขยับเลย แถมประชาชนก็ยังลำบากหนักกว่าเดิม จึงอยากให้พิจารณาว่าที่ได้อัดฉีดเงินจำนวนมากลงไปนั้น น่าจะไม่ถูกทาง และจะต้องถือเป็นความเสียหายของประเทศด้วยหรือไม่

การแกว่งปากหาเสี้ยนของนายพิชัยดังกล่าว มีปฏิกิริยาทันทีจากโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ที่ออกมาทำสงครามน้ำลายว่า พล.อ.ประยุทธ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และหัวหน้า คสช. สั่งให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องไปชี้แจง เพราะหากประชาชนไม่เข้าใจจะเกิดความวิตกกังวล และมีผลต่อความเชื่อมั่น เพราะข้อมูลของนายพิชัยไม่ตรงกับความเป็นจริง มีลักษณะตีขลุม หว่านแห ไม่มีตัวเลขยืนยันชัดเจน เพราะสถานการณ์เศรษฐกิจไทยที่ผ่านมาดีขึ้นตามลำดับ

ถัดมา ตัวแทนของกระทรวงการคลังอย่างนายสมชัย สัจจพงษ์ ปลัดกระทรวงการคลัง และนางสาวกุลยา ตันติเตมิท รองโฆษกกระทรวงการคลัง ก็ดาหน้ากันงัดข้อมูลออกมาร่วมวงตอบโต้ตามคำสั่งของนายกรัฐมนตรี เพื่อสรุปว่า เศรษฐกิจไทยยังเดินหน้าขับเคลื่อนไปได้

สาระสำคัญที่ชี้แจงกันออกมาดูสอดรับกันดี เพราะเน้นว่า นโยบายการคลังและการเงินจากภาครัฐที่ยังคงมีความต่อเนื่อง จะเป็นแรงขับเคลื่อนให้เศรษฐกิจในระยะต่อไปขยายตัวได้อย่างต่อเนื่อง ทำให้เศรษฐกิจยังขยายตัวอย่างต่อเนื่อง ทั้งในส่วนการบริโภคภาคเอกชน การใช้จ่ายภาครัฐ รายได้ประชากร ดัชนีความเชื่อมั่นต่างๆ ของผู้บริโภคและภาคอุตสาหกรรม ในขณะที่ปัจจัยพื้นฐานทางเศรษฐกิจที่แข็งแกร่ง พร้อมรองรับความผันผวนทางเศรษฐกิจได้ อัตราเงินเฟ้อและอัตราว่างงานที่ต่ำ อีกทั้งระบบการเงินและสถาบันการเงินก็มีเสถียรภาพและมั่นคง มีหนี้สาธารณะอยู่ในระดับต่ำกว่ากรอบความยั่งยืนทางการคลังที่ 60% ของจีดีพีพอสมควร และมีทุนสำรองระหว่างประเทศในระดับสูง

สงครามน้ำลายว่าด้วยตัวเลขดังกล่าว ไม่ใช่เรื่องใหม่ และไม่มีความหมายต่อตลาดหุ้นไทยเลย เพราะว่าสำหรับนักลงทุนแล้ว ตัวเลขทางเศรษฐกิจของประเทศไทยนั้น มีนัยสำคัญต่อการเปลี่ยนแปลงของดัชนีตลาด และราคาหุ้นอย่างมากมาย จะเรียกว่าค่อนข้างแปลกแยกก็ว่าได้

ตลาดหุ้นไทยยามนี้ ถือได้ว่าข่าวดีมากกว่าข่าวร้าย แม้จะมีข่าวชวนเศร้าหมองของประเทศมาเจือปน แต่บรรยากาศการลงทุนกลับมีเค้าสดใสอย่างมาก ทำให้เมื่อวานนี้ ดัชนีตลาดหุ้นที่ทำท่าจะย่ำแย่ในช่วงเปิดตลาดเช้า กลับปิดบวกเมื่อปิดตลาดภาคบ่าย เดินหน้าไปท้าทายแนวต้านใหม่ต่อเนื่อง เพราะนักลงทุนมีความเชื่อมั่นมากขึ้นว่าตลาดหุ้นไทยพ้นจากจุดต่ำสุดไปแล้ว  แม้จะมีปัจจัยลบหลายอย่างมากล้ำกราย โดยเฉพาะตัวเลขเรื่องของการส่งออกที่ย่ำแย่ ตัวเลขการถดถอยของธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ และความกังวลเรื่องเฟดจะขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายที่ทำให้กระแสฟันด์โฟลว์ต่างชาติไหลออกไปจากตลาด

เหตุผลของการที่นักลงทุนมีความเชื่อมั่น มาจากหลายปัจจัยพร้อมกัน แต่ที่สำคัญที่สุดคือ ผลประกอบการโดยเฉลี่ยรวมของบริษัทจดทะเบียนในตลาดหุ้นไทยไตรมาสสามปีนี้ จะเติบโตมากกว่าระยะเดียวกันปีก่อนมากกว่า 256% ที่ตัวเลข 2.1 แสนล้านบาท เทียบกับไตรมาสสามปีก่อนที่ระดับเพียงแค่ 5.91 หมื่นล้านบาท ซึ่งหากเป็นเช่นนั้นจริง ก็เท่ากับมีอัตราเติบโตดีที่สุดในบรรดาตลาดหุ้นทั่วโลกทีเดียว

ตัวเลขไม่เคยโกหก โดยเฉพาะตัวเลขผลประกอบการของบริษัทจดทะเบียนที่ผ่านการตรวจสอบบัญชีมาอย่างแม่นยำแล้ว ไม่สามารถปฏิเสธได้

ข้อเท็จจริงที่ต้องยอมรับคือ เศรษฐกิจไทยนั้น มีการเติบโตช้าลงเมื่อเทียบกับอดีต และเทียบกับประเทศในภูมิภาคในปัจจุบัน ไม่ได้ถึงกับเศรษฐกิจถดถอยหรือทรุดตัว แต่การเติบโตดังกล่าว ไม่ได้ปราศจากปัญหาอะไร

การที่รัฐบาลพยายามโฆษณาชวนเชื่อว่า ทุกอย่างดีเลิศไปหมด ถือว่าไม่ถูกต้อง และฝ่ายตรงข้ามรัฐบาลที่พูดว่าอะไรก็แย่ไปหมด ก็ไม่ถูกต้องเช่นกัน เพราะทั้งสองฝ่ายต่างมีจุดยืนที่สุดขั้วเกินไป

สำหรับนักลงทุนทุกกลุ่มในตลาดหุ้นไทย ตราบใดที่ผลประกอบการของบริษัทจดทะเบียนยังมีกำไรต่อเนื่องและเติบโตในอัตราที่น่าพึงพอใจ หรือดีเกินคาด และหากเทียบกับตลาดเพื่อนบ้านโดยรวม หรือตลาดหุ้นหลักของโลก ก็ยังมีอัตราส่วนเปรียบเทียบที่ดูดี ก็แสดงว่า พื้นฐานของตลาดหุ้นไทยยังแข็งแกร่งไร้กังวล

กรณีของหุ้นกลุ่มธนาคารในตลาดหุ้นไทยที่กำไรเติบโตในไตรมาสสามปีนี้ มากกว่า 15% เทียบกับระยะเดียวกันปีก่อน และคาดว่าหุ้นกลุ่มพลังงานจะมีกำไรที่เติบโตดีกว่าปีก่อน (ที่ต่ำสุดในรอบหลายปีจากขาลงของธุรกิจน้ำมัน) มากกว่า 30% และหุ้นขนาดกลางและเล็กจำนวนมากที่มีการคาดเดาผลกำไรที่สดใสกันมากกว่า ล้วนเป็นข่าวดีที่มีส่วนขับเคลื่อนให้ค่าพี/อีของตลาดหุ้นไทยมีแนวโน้มต่ำลงจนกระทั่งถือว่าเป็นตลาดที่ “ถูกเกิน” ต้องวิ่งขึ้นไปเพื่อปรับสภาพให้เหมาะสม ถือเป็นแต้มต่อสำคัญที่ทำให้บรรยากาศการลงทุนในตลาดหุ้นไทยยามนี้มีตัวเลขซื้อขายเกินกว่า 4.5 หมื่นล้านบาทต่อวันต่อเนื่อง แม้ในวันที่ซบเซาที่สุดของสัปดาห์ก็ตาม

ข่าวดี และข่าวร้ายของเศรษฐกิจไทย กับข่าวดีและข่าวร้ายของตลาดหุ้นไทยในมุมมองของนักลงทุน จึงต้องพิจารณาในรายละเอียดอย่างเป็นรูปธรรม ไม่ใช่การแสดงความเห็นอย่างเหมารวมในสงครามน้ำลาย

เมื่อพิจารณารายละเอียดกันครบถ้วนแล้ว การวินิจฉัยข่าวดี และข่าวร้าย จะแม่นยำและแยกแยะได้ชัดเจนยิ่งขึ้นว่าอย่างไหนควรเชื่อ และอย่างไหนควรหมางเมิน                 

Back to top button