พักฐานก่อนขึ้นพลวัต 2016

หลังจากที่รีบาวด์กลับมานานกว่า 1 สัปดาห์จนดัชนีตลาดหุ้นไทย สามารถยืนเหนือ 1,500 จุดได้แค่ 2 วัน ดัชนีตลาดหุ้นไทยก็ได้เวลาพักฐานวานนี้อย่างแรงพอสมควร จนกระทั่งนักลงทุนถามไถ่กันยกใหญ่ว่าเกิดอะไรขึ้น


หลังจากที่รีบาวด์กลับมานานกว่า 1 สัปดาห์จนดัชนีตลาดหุ้นไทย สามารถยืนเหนือ 1,500 จุดได้แค่ 2 วัน ดัชนีตลาดหุ้นไทยก็ได้เวลาพักฐานวานนี้อย่างแรงพอสมควร จนกระทั่งนักลงทุนถามไถ่กันยกใหญ่ว่าเกิดอะไรขึ้น

ยิ่งปิดตลาดวานนี้ มีตัวเลขขายสุทธิของต่างชาติและกองทุนออกมาพร้อมกันด้วย คำถามก็เลยพากันเตลิดไปกันยกใหญ่ กว่าจะตั้งสติได้ว่า นี่เป็นแค่การพักฐานทางเทคนิคธรรมดาตามปกติ โอกาสของตลาดหุ้นไทยที่จะเป็นขาขึ้นยังมีต่อไป เพราะแนวโน้มสำคัญที่มีความแข็งแกร่งโดยพื้นฐานจากการที่ผลประกอบการโดยรวมของบริษัทจดทะเบียนในตลาดหุ้นไทย และตัวเลขส่งออกของไทย กระเตื้องขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ

การพักฐานลดความร้อนแรงเช่นวานนี้ ไม่ใช่เรื่องน่ากังวล แต่เป็นที่น่ายินดีเสียด้วยซ้ำเพราะทำให้จังหวะการเข้าซื้อและขายหุ้น ดำเนินไปตามกลไกของตลาดที่มีการเก็งกำไรเกิดขึ้นโดยธรรมชาติ

นักวิเคราะห์หลายสำนัก ออกมาย้ำตรงกันว่าการพักฐานระยะสั้นชั่วคราววานนี้ และอาจจะลุกลามมาถึงเช้านี้ ไม่ใช่เรื่องน่ากังวลแต่อย่างใด เพราะเป็นปรากฏการณ์ที่สอดรับกับอิทธิพลเช่นเดียวกันกับตลาดหุ้นอื่นในภูมิภาคที่ส่วนใหญ่เคลื่อนไหวอยู่ในแดนลบ ซึ่งเกิดจากสถานการณ์สินค้าโภคภัณฑ์ โดยราคาน้ำมันดิบที่ปรับตัวลดลงไป 2 วันติดต่อกันที่ระดับมากกว่า 1% ส่งผลให้กดดันหุ้นในกลุ่มพลังงาน แต่ตลาดหุ้นน่าจะมีโอกาสรีบาวด์ หลังจากพักฐาน เนื่องจากสัญญาณทางเทคนิคและตัวเลขส่งออกของไทยเดือนกันยายนที่ออกมาดีกว่าตลาดคาด โดยเติบโต 3.4% ขยายตัวต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 2 จากที่ตลาดคาดส่งออกหดตัว -1.3 ถึง -2% น่าจะส่งผลให้ตลาดดีดกลับขึ้นมาได้ไม่ยากนัก

ข้อเท็จจริงดังกล่าว ทำให้นักลงทุนสามารถเบาใจได้ว่า เศรษฐกิจไทยได้ผ่านจุดต่ำสุดมาแล้ว เช่นเดียวกันกับตลาดหุ้นทั่วโลกและยังสามารถจะเดินหน้าเป็นขาขึ้นต่อไปได้อีก จากการที่ผลประกอบการของบริษัทจดทะเบียนยังคงสวยงามชัดเจนเมื่อเทียบกับระยะเดียวกันปีก่อน

ตัวเลขกำไรสุทธิของบริษัทขนาดใหญ่อย่าง บริษัท ปูนซิเมนต์ไทย จำกัด (มหาชน) หรือ SCC ที่วานนี้ประกาศกำไรเติบโตมากถึง 57% จากระยะเดียวกันปีก่อน บ่งบอกได้ดีถึงความสามารถในการปรับตัวของธุรกิจไทยในการทำกำไรได้โดดเด่น แม้ในยามยากลำบากของภาพรวม แต่นั่นยังไม่สำคัญเท่ากับตัวเลขการส่งออกที่ประกาศมาเมื่อวานนี้

กระทรวงพาณิชย์มีข่าวดีที่โดดเด่นมาก มาทำให้เกิดความปลื้มปิติในยามที่ประชาชนกำลังเศร้าหมอง ด้วยการเปิดเผยตัวเลขการส่งออกของไทยว่า โดยรวมในปีนี้จะดีกว่าที่หลายหน่วยงานประเมินไว้ว่าจะติดลบ 2% โดยยังคงคาดว่าปีนี้การส่งออกของไทยจะอยู่ในช่วง -1 ถึง 0% หรือคิดเป็นมูลค่าประมาณ 2.12-2.14 แสนล้านดอลลาร์ และยังมีโอกาสจะเติบโตเกิน 0% หรือพลิกเป็นบวกได้เล็กน้อย

ตัวเลขการส่งออกของไทยในเดือนกันยายนที่ผ่านมา มีมูลค่า 19,460 ล้านเหรียญสหรัฐ หรือคิดเป็น 3.4% เป็นผลมาจากตลาดส่งออกสำคัญของไทยยังคงขยายตัวได้ดีในเกือบทุกตลาด โดยเฉพาะตลาดสหภาพยุโรป จีน สหรัฐ และญี่ปุ่น ที่มีการขยายตัวในเกณฑ์ดี (ยกเว้นตะวันออกกลางที่ยังหดตัว)

นอกจากนั้น ยังมีปัจจัยสนับสนุนจากการขยายตัวของกลุ่มสินค้าอุตสาหกรรม โดยเฉพาะอุปกรณ์กึ่งตัวนำทรานซิสเตอร์/ไดโอด ที่ขยายตัวระดับสูงต่อเนื่อง รวมทั้งเครื่องยนต์ เคมีภัณฑ์ และสินค้าเกษตรสำคัญ อาทิ ผัก ผลไม้สด กระป๋องและแปรรูป กุ้งสดแช่แข็งและแปรรูป และข้าว ซึ่งเป็นการเพิ่มขึ้นทั้งราคาและปริมาณการส่งออก

ส่วนการนำเข้ามีมูลค่า 16,914 ล้านเหรียญสหรัฐ ขยายตัว 5.57% ส่งผลให้ดุลการค้าเดือนกันยายน เกินดุล 2,546 ล้านเหรียญสหรัฐ ซึ่งเป็นการเกินดุลต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 17 ติดต่อกัน

ตัวเลขดังกล่าว หากคิดจากช่วง 9 เดือนของปีนี้ ไทยมีตัวเลขส่งออกมีมูลค่า 160,468 ล้านเหรียญสหรัฐ หดตัว 0.7% การนำเข้ามีมูลค่า 142,538 ล้านเหรียญสหรัฐ หดตัว 7.3% และการค้าเกินดุล 17,930 ล้านเหรียญสหรัฐ

เมื่อเปรียบเทียบกับสถานการณ์การส่งออกของโลก พบว่า สถานะของไทยปรับตัวดีขึ้นอย่างต่อเนื่อง และอยู่ในลำดับที่ดีขึ้นเมื่อเทียบกับหลายประเทศ อีกทั้งยังคงรักษาส่วนแบ่งตลาดได้ดีในเกือบทุกตลาด

สำหรับแนวโน้มการส่งออกแต่ละเดือนในช่วงไตรมาสสุดท้ายของปีนี้ ยังมีโอกาสจะเป็นบวกได้ แม้จะไม่มาก หรือปริ่มๆ 0% ซึ่งทำให้ตลอดทั้งปี เชื่อว่าการส่งออกจะไม่ติดลบไปถึง 2% ตามที่หลายหน่วยงานคาดการณ์ไว้ เพียงแต่การจะให้การส่งออกในปีนี้พลิกกลับมาเป็นบวกได้นั้น การส่งออกตั้งแต่เดือนตุลาคม-ธันวาคม จะต้องได้มูลค่าต่อเดือนไม่ต่ำกว่า 18,000 ล้านดอลลาร์ซึ่งไม่น่าจะเกิดขึ้น

ปัจจัยบวกที่สำคัญซึ่งมีผลต่อการสนับสนุนการส่งออกในช่วงที่เหลือของปีนี้ คือ ราคาสินค้าเกษตรมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นตามราคาน้ำมันและความต้องการของตลาดโลกโดยเฉพาะมูลค่าการส่งออกสินค้าที่เกี่ยวเนื่องกับน้ำมัน ในขณะที่ค่าเงินบาทอ่อนลงอย่างมีนัยยะ โดยคาดว่าธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) จะปรับขึ้นดอกเบี้ยก่อนสิ้นปีความผันผวนของเศรษฐกิจโลกในช่วงที่เหลือมีแนวโน้มอยู่ในกรอบที่จำกัด เพราะเชื่อว่าผลการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐ  จะไม่สร้างเงื่อนไขให้มีความผันผวนต่อเศรษฐกิจโลก

ความสำคัญของตัวเลขส่งออกที่ดีขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ ทำให้มีแนวโน้มว่า เศรษฐกิจไทยจะดีขึ้น ประกอบกับการนำเข้าก็ดีขึ้นอย่างน่าพอใจเช่นกัน ซึ่งทำให้มั่นใจว่าเศรษฐกิจไทยในไตรมาสสุดท้ายจะดีขึ้นและต่อเนื่องไปจนถึงปีหน้าด้วย

ตัวเลขส่งออกที่ดีขึ้น และตัวเลขผลประกอบการของบริษัทจดทะเบียนที่โดดเด่น เป็นปัจจัยชี้ขาดที่ทำให้สรุปได้ว่า ราคาหุ้นบริษัทต่างๆ ในตลาดหุ้นไทย มีแนวโน้มต่ำลงเมื่อวัดจากค่า พี/อี เหมาะสำหรับการเข้ามาเก็งกำไรของต่างชาติ และเหมาะสำหรับการลงทุนของนักลงทุนหรือผู้มีเงินออมทั้งหลายในตลาดหุ้นไทย

การพักฐานในวันเดียวแรงๆ ไม่สามารถบอกได้ว่าตลาดเป็นขาลง เมื่อมองจากระยะห่างที่เหมาะสม    

Back to top button