พาราสาวะถี

  สมกับเป็นเนติบริกรชั้นครู มีชัย ฤชุพันธุ์ ตอบคำถามนักข่าวปมการชี้แจงต่อกกต.ที่ไม่พอใจหลังถูกสนช.ลงมติเซตซีโร่ ด้วยการบอกว่า คนที่กำลังโกรธจะเข้าใจยาก ต้องรอให้ใจเย็นลงกว่านี้ค่อยทำความเข้าใจ ในฐานะคนที่ถือแต้มต่อและเป็นมวยเชิงสูง ย่อมรู้แง่มุมและเข้าใจว่า อาการโมโหที่เกิดขึ้นนั้นเป็นกันทั้ง 5 เสือหรือแค่คนๆ เดียว


พาราสาวะถี : อรชุน

สมกับเป็นเนติบริกรชั้นครู มีชัย ฤชุพันธุ์ ตอบคำถามนักข่าวปมการชี้แจงต่อกกต.ที่ไม่พอใจหลังถูกสนช.ลงมติเซตซีโร่ ด้วยการบอกว่า คนที่กำลังโกรธจะเข้าใจยาก ต้องรอให้ใจเย็นลงกว่านี้ค่อยทำความเข้าใจ ในฐานะคนที่ถือแต้มต่อและเป็นมวยเชิงสูง ย่อมรู้แง่มุมและเข้าใจว่า อาการโมโหที่เกิดขึ้นนั้นเป็นกันทั้ง 5 เสือหรือแค่คนๆ เดียว

ไม่เพียงเท่านั้นยังตอกย้ำด้วยว่า ถ้ามีการเซตซีโร่จะเป็นประโยชน์ และเมื่อจะปฏิรูปก็ต้องยอมเจ็บ นั่นเท่ากับเป็นการชี้นิ้วและพิพากษาไปยังคนที่ตีโพยตีพายว่า ห่วงแต่ประโยชน์ส่วนตนไม่ยอมเสียสละเพื่อบ้านเมือง มากไปกว่านั้น เมื่อถามถึงการตั้งคณะกรรมาธิการร่วมมีชัยก็แทบจะไม่ให้ราคากับกกต. หากถอดรหัสตามคำพูดโอกาสที่จะตั้งคณะกรรมาธิการดังว่าไม่น่าจะเกิดขึ้น

เนื่องจากหัวขบวนของคณะกรรมการยกร่างรัฐธรรมนูญ ชี้ให้เห็นว่าปมคณะกรรมาธิการร่วม หากจะตั้งขึ้นจริง สัดส่วนของกกต.ในกรรมาธิการร่วมจะมีน้อยกว่าสนช.และกรธ. เพราะเป็นเรื่องระหว่างสนช.กับกรธ.ที่เป็นผู้จัดทำร่างกฎหมายดังกล่าว ส่วนกกต.เป็นเพียงผู้ให้ความเห็นเท่านั้น ถ้าจะพูดกันตรงๆคงต้องบอกว่า ตั้งไปให้เสียเวลาทำไม ในเมื่อสนช.และกรธ.เดินตามคำบัญชาแป๊ะแล้ว เสียงของกกต.ย่อมไม่มีความหมาย

ส่วนประเด็นความเห็นจากนักการเมืองและพรรคการเมือง มีชัยก็ไม่ให้ความสำคัญด้วยเช่นกัน การย้อนถามกลับนักข่าวว่า หากไม่เซตซีโร่ พรรคการเมืองจะมีความเห็นอย่างไร ตรงนี้ก็ตอบยากเหมือนกัน อย่างที่รู้นักการเมืองบ้านเรา เท่าที่ผ่านมาและจนมาถึงเวลานี้ก็ยังคงไม่อยู่กับร่องกับรอย โดยเฉพาะบางคนบางพวกที่ตั้งการ์ดสูง มักจะแทงกั๊กและวิจารณ์แบบออกหัวออกก้อยได้ทั้งนั้น

เรื่องกฎหมายลูกว่าด้วยกกต.พอเห็นทิศทางอันจะแจ้งเช่นนี้แล้ว คงไม่มีอะไรให้สะดุด สถานีต่อไปคือการรอยลโฉมว่าที่กกต.ทั้ง 7 ราย จะมีหน้าตาอย่างไร พอเป็นที่พึ่งที่หวัง มีความกล้าหาญและเลิศล้ำด้วยคุณธรรม จริยธรรม และรักษาไว้ซึ่งความเป็นกลางได้มากขนาดไหน ตรงนั้นจะเป็นบทพิสูจน์ว่า ความตั้งใจของผู้ที่เกี่ยวข้องจะบรรลุเป้าหมายหรือไม่

ขณะเดียวกัน ความเห็นผ่านบทความล่าสุดเรื่องเมื่อโลกเค้าเลือกตั้ง ของ สิริพรรณ นกสวน ก็ชวนให้คิดตามอยู่ไม่น้อย การเลือกตั้งของไทยถึงแม้จะยังไม่มีวี่แวว แต่น่าสนใจว่า จะเกิดขึ้นภายใต้กกต.ที่จะได้รับแต่งตั้งเข้ามาใหม่ 7 คน โดยจะมีผู้ตรวจการเลือกตั้งทำหน้าที่แทนกกต.จังหวัด เป็นการยกระดับกระบวนการจัดและตรวจสอบการเลือกตั้ง เพียงแต่ว่ามันจะโปร่งใสไร้ที่ติ ดีกว่ากกต.ทุกชุดที่ผ่านมาหรือไม่ ยังเป็นเครื่องหมายคำถามที่สำคัญ

ที่ไม่ต้องรอคงเป็นประเด็น 4 คำถามของ พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา ที่ประเดิมให้ประชาชนถือบัตรประชาชนไปแสดงตัวร่วมตอบได้ทั้งที่ศูนย์รับเรื่องราวร้องทุกข์ตรงข้ามทำเนียบรัฐบาลและสำนักงานเขต 50 เขต ศูนย์ดำรงธรรมจังหวัดและอำเภอทั่วประเทศตั้งแต่เมื่อวานที่ผ่านมา บรรยากาศไม่คึกคักตามคาด ขณะที่จับท่าทีของคนซึ่งไปแสดงความเห็น คงไม่ต้องบอกว่ามีแนวโน้มไปในทิศทางใด

ยิ่งได้ฟังคำตอบจาก พลเอกอนุพงษ์ เผ่าจินดา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทยในฐานะเจ้าภาพหลักในการรวบรวมคำตอบครั้งนี้ ยิ่งวังเวง เพราะมท.1 บอกว่าจะรวบรวมแล้วส่งต่อให้บิ๊กตู่ในฐานะต้นเรื่อง โดยที่จะไม่มีการสรุปหรือชี้แจงใดๆ ให้สาธารณชนได้รับรู้ เลยยิ่งไม่เข้าใจว่าถ้าเช่นนั้นจะดำเนินการให้สิ้นเปลืองงบประมาณไปทำไม

ไม่เพียงเท่านั้น บรรดานักวิจัยทั้งหลายหากยึดโยงหลักการพื้นฐานของการสอบถามความเห็นของประชาชนแล้ว ยิ่งทำให้เห็นว่ากระบวนการค้นหาคำตอบจากประชาชนหนนี้ไม่รู้จะใช้หลักการอะไรเป็นเครื่องชี้วัด เพราะกลุ่มเป้าหมายไม่ได้ระบุชัดโดยเฉพาะฐานอายุของผู้ตอบ เพียงแค่มีบัตรประจำตัวประชาชนไปแสดงก็ถือว่าใช้ได้ ถามว่าหากเด็กที่สนใจการเมืองไปตอบ จะถูกตั้งข้อกังขาถึงวุฒิภาวะและความน่าเชื่อถือหรือไม่

ด้วยความไม่ชัดเจนเช่นนี้บวกกับการเร่งรัดหาคำตอบของผู้ตั้งคำถาม ความเห็นของ สุธาชัย ยิ้มประเสริฐ ก็เป็นอีกมุมที่ต้องขีดเส้นใต้ คำถาม 4 ข้อตลอดจนท่าทีของบิ๊กตู่ ได้สะท้อนความวิตกข้อใหญ่ในกลุ่มชนชั้นนำที่กลัวการเลือกตั้ง เพราะพวกเขาไม่สามารถบังคับหรือเปลี่ยนใจประชาชนไทย ที่ต้องการจะเลือกฝ่ายพรรคเพื่อไทยให้กลับคืนมา การคาดหมายและการสุ่มตัวอย่างเสียงประชาชนทุกครั้ง แสดงให้เห็นเสมอว่า ถ้ามีการเลือกตั้ง ฝ่ายพรรคเพื่อไทยมีโอกาสมากที่สุด ที่จะได้รับเสียงมากที่สุด

แม้ว่าจะใช้มาตรการทางรัฐธรรมนูญ หรืออำนาจเถื่อนสกัดขัดขวางทุกทางแล้วก็ตาม ในระยะที่ผ่านมา กระบวนรัฐประหารเพื่อทำลายประชาธิปไตยในประเทศ ก็มาจากความต้องการที่จะจัดการกับฝ่ายพรรคเพื่อไทยให้เด็ดขาดทั้งสิ้น ความขัดแย้งและความวุ่นวายในประเทศ จึงมาจากปัญหาเรื่องความอับจนปัญญาของชนชั้นนำที่จะบังคับเสียงประชาชน

ความจริงกระบวนการทั้งหมดนี้ เป็นเรื่องที่แก้ไขได้ง่ายที่สุด ถ้าหากยอมรับที่จะเล่นการเมืองตามกติกา และปล่อยให้กระบวนการประชาธิปไตยดำเนินไปเช่นปกติ หมายความว่า ถ้าชนชั้นนำต้องการจะเอาชนะ ทักษิณ ชินวัตร ควรจะต้องเอาชนะด้วยประชาธิปไตย ทำให้ฝ่ายทักษิณแพ้การเลือกตั้ง และประชาชนเสื่อมศรัทธาไปเอง การเมืองไทยก็จะพัฒนาในลักษณะเดียวกับนานาประเทศ และหลักธรรมาภิบาลก็จะเกิดขึ้นได้

กล่าวโดยสรุป ประเทศไทยจะพัฒนาไปข้างหน้าได้ กลุ่มนายทหารในยุคต่อไปต้องเลิกคิดแบบเดียวกับ พลเอกประยุทธ์และชาวคณะ ที่เชื่อว่ามีแต่ฝ่ายทหารเท่านั้นที่สามารถเป็นอัศวินม้าขาวเข้ามาแก้ปัญหาของประเทศ แต่ต้องคิดเสียใหม่ว่าประชาชนสามารถแก้ปัญหาของตนเองได้ด้วยกระบวนการประชาธิปไตย จะได้ไม่ต้องมาตัดพ้อว่าถ้าประยุทธ์ไม่อยู่แล้วจะเรียกใคร แต่ต้องเข้าใจว่าผู้มีอำนาจพ.ศ.นี้เขากลัวเรื่องเสียของ ดังนั้นจึงต้องจัดการให้ทุกอย่างสงบราบคาบ เมื่อเดิมพันสูงจึงต้องทำทุกวิถีทางแม้บางเรื่องจะถูกมองว่าไม่เป็นประชาธิปไตยก็ตาม

Back to top button