ขำ(ว่ะ)!

นับเป็นภาพแปลกตาขึ้นเรื่อยๆที่เห็นภาพพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรียืนพูดปากคอสั่นบนโพเดียมว่า  ไม่แม้แต่จะคิดเลิกล้มบัตรทอง โครงการหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้า


ขี่พายุทะลุฟ้า:ชาญชัย สงวนวงศ์

 

                นับเป็นภาพแปลกตาขึ้นเรื่อยๆที่เห็นภาพพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรียืนพูดปากคอสั่นบนโพเดียมว่า  ไม่แม้แต่จะคิดเลิกล้มบัตรทอง โครงการหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้า

                นอกจากตัวท่านเองไม่คิดเลิกแล้ว ท่านยังบอกว่า อย่าไปหลงเชื่อข่าวลือข่าวปล่อยของผู้ไม่หวังดี นั่นแสดงว่า โครงการบัตรทองเป็นของดีมีอยู่ ที่ตัวท่านเองจักหวงแหนรักษาไว้

และนอกจากตัวท่านจะไม่คิดล้มเลิกทำลายแล้ว ยังขอร้องผู้อื่นให้ระวังคนจะมาบิดเบือนยุแหย่ให้ไขว้เขวด้วย

                โครงการบัตรทองรักษาทุกโรคได้อุบัติขึ้นมาเป็นเวลา16ปีแล้ว อุบัติขึ้นมาครั้งแรกก็คงต้องยอมรับโดยมิอาจหลีกเลี่ยงกันล่ะว่า อุบัติขึ้นมาในสมัยนายกรัฐมนตรีชื่อทักษิณ ชินวัตร

                 ทักษิณฉิบหายป่นปี้ออกจากเมืองไทยไป 11 ปี แต่โครงการบัตรทองก็ยังขายได้คงทนเป็นอภิมหาอมตะอยู่แฮะ เสื้อเหลืองก็ใช้ได้ เป่านกหวีดก็ใช้ดี เสื้อแดงก็แสนสราญ

สรุปแล้วทุกฝ่ายก็ได้ใช้บริการกันหมด ขนาดใครจะเข้าไปคิดแตะนิดอะไรหน่อยเช่นผู้คุมอำนาจรัฐทุกวันนี้ ก็ยังปวดหัวตัวร้อนกันเป็นแถวๆ ดูการทำประชาพิจารณ์ 4 ภาคนั่นปะไร เวทีล่มเป็นแถวๆ

ขนาดเวทีภาคใต้ยังล่ม!

                นัยยะของโครงการบัตรทอง รักษาทุกโรค น่าจะเป็นนัยยะของข้อยกเว้นในคำปรามาสรัฐบาลเก่าหรือรัฐบาลนักการเมืองว่า “ประชานิยมทำลายชาติ” หรือเป็นผลงานที่เลวไปเสียทั้งหมดนะ

เวทีประชาพิจารณ์ 4 ภาคล่ม รมว.สาธารณสุขต้องสะอื้นในหัวอก หรือนรม.ต้องหาโอกาสมาเปล่งวาจาหน้าโพเดียมอยู่หลายโอกาส คือหลักประกันยืนยันได้

                หันมาหาเรื่องเก่าเล่าใหม่ที่ผ่านมา เมื่อ 3 ปีที่แล้ว นั่นก็คือโครงการรถไฟฟ้าความเร็วสูง 4 เส้นทาง รถไฟฟ้าขนส่งมวลชน 10 สาย และระบบบริหารจัดการน้ำแบบบูรณาการครบวงจรรวมมูลค่า 2.2 ล้านล้านบาท

                มีแต่คนพูดถึงว่าจะเอาไปขนผักขนผลไม้ ประชาชนจะต้องตกเป็นหนี้ชั่วลูกหลานเหลนโหลน ตุลาการรัฐธรรมนูญคนหนึ่งที่นั่งบนบัลลังก์คือนายสุพจน์ ไข่มุกด์ ถึงกับไล่เบี้ยตัวแทนฝ่ายรัฐบาลในทำนอง “เอาถนนลูกรังให้หมดไปเสียก่อนจะดีไหม ค่อยเอารถไฟความเร็วสูง”

                คำพูดนี้ว่าจะเป็นหลักกฎหมายที่ตุลาการควรแนบอิงพิจารณาหรือก็ไม่ใช่ จะว่าถามไถ่ตามหลักวิชาการระบบขนส่งหรือโลจิสติกส์ก็คงไม่ใช่อีกเช่นกัน

แต่ในที่สุดก็มีคำตัดสินว่า โครงการ 2.2 ล้านล้านบาทของรัฐบาลไม่ต้องด้วยรัฐธรรมนูญ จึงไม่อาจจัดทำได้ในสมัยรัฐบาลยิ่งลักษณ์ ชินวัตร

                เป็นการโดนคำสั่งห้ามโดยศาล โดยที่ยังผ่านขั้นตอนทางกฎหมาย และก็ยังไม่มีการลงมือดำเนินการใดๆ เลย

แม้รัฐบาลจะให้หลักประกันในเรื่องที่จะรักษาความโปร่งใสโดยมีการดำเนินการตามรอยโครงการขนาดใหญ่ของประเทศเช่นอีสเทิร์น ซีบอร์ดที่ผ่านมาทุกประการ

แต่สังคมและสถาบันสำคัญไม่ให้ความไว้วางใจ

                รัฐบาลสัญญาว่าจะจัดทำโครงการในลักษณะของ “โอเพ่น อินเตอร์เนชั่นแนล บิด” นั่นคือการเปิดแข่งขันแบบเสรีทั่วโลกและในราคาเหมาะสมยุติธรรม,

จะต้องมีราคากลาง, จะต้องมีวิศวกรที่ปรึกษาควบคุมงาน, มีกรรมการที่ปรึกษาตัดสินการประมูลที่เป็นอิสระ, มีระบบการถ่ายทอดเทคโนโลยี อันเป็นหัวใจสำคัญที่จะรักษาไว้เป็นสมบัติชั่วลูกชั่วหลาน

มีระบบประกัน การชดใช้ และความรับผิดชอบ ซึ่งหากไม่มีระบบที่แข็งแรงในเรื่องนี้ ก็อาจจะกลายเป็นความเสียหายอันใหญ่หลวงของประเทศ เพราะในเมืองจีนเมื่อ 2-3 ปีที่แล้วก็ยังมีเหตุการณ์รถไฟความเร็วสูงชนประสานงามีคนบาดเจ็บล้มตายเรือนพัน ซึ่งจนบัดนี้สาเหตุการชนครั้งนั้นก็ยังไม่เป็นที่เปิดเผย

แล้วหากเกิดเหตุการณ์รถไฟความเร็วสูงชนประสานงาในเมืองไทยเช่นเดียวกับในเมืองจีนในครั้งนั้น รัฐบาลไทยจะไปหาความรับผิดชอบที่ใคร

                ประการสำคัญที่สุดก็คือในเรื่องของ “สิทธิสภาพนอกอาณาเขต” ที่ไม่ว่าวิศวกร-สถาปนิกชาติใดไปทำงานในประเทศอื่น ก็ต้องผ่านการรับรองใบอนุญาตวิชาชีพหรือวิทยฐานะที่เทียบเท่าด้วยกันทั้งสิ้น

แต่นี่ไฟเขียวผ่านตลอด หากเกิดเหตุร้ายเหตุรุนแรงอันเนื่องมาจากการทำงานบกพร่องของวิศวกร-สถาปนิกขึ้นมา แล้วเราจะไปเรียกร้องความรับผิดชอบกับใคร

เหนืออื่นใดกว่านั้นก็คือ เมื่อต้องโอนอ่อนสิทธิสภาพนอกอาณาเขตให้จีนแล้ว ถ้าญี่ปุ่นมาขอบ้างก็จำต้องให้ในมาตรฐานเดียวกันเช่นกับจีนไหมเนี่ย

                ยุคปฏิรูป ช่วยสำนึกสำเหนียกถึงการรักษาผลประโยชน์ชาติและรักษาความสะอาดโปร่งใสยิ่งชีพ ก็จะได้ชื่อว่า “ดีแท้ สีไม่ตก”

                                                                ###################

 

Back to top button