พาราสาวะถี

วันนี้ พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นั่งหัวโต๊ะประชุมครม.นอกสถานที่ที่จังหวัดสงขลา โดยวันวานลงพื้นที่ติดตามความก้าวหน้าของโครงการสามเหลี่ยม มั่นคง มั่งคั่ง ยั่งยืน และติดตามประเด็นปัญหาความเดือดร้อนของประชาชน รับฟังความคิดเห็นจากกลุ่มผู้นำท้องถิ่น ภาคเอกชนและประชาชนที่จังหวัดปัตตานี รวมถึงภาษาที่รัฐบาลทหารใช้คือ สร้างการรับรู้เกี่ยวกับนโยบายและการดำเนินแผนงานโครงการของรัฐบาลในรอบ 3 ปี


อรชุน

วันนี้ พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นั่งหัวโต๊ะประชุมครม.นอกสถานที่ที่จังหวัดสงขลา โดยวันวานลงพื้นที่ติดตามความก้าวหน้าของโครงการสามเหลี่ยม มั่นคง มั่งคั่ง ยั่งยืน และติดตามประเด็นปัญหาความเดือดร้อนของประชาชน รับฟังความคิดเห็นจากกลุ่มผู้นำท้องถิ่น ภาคเอกชนและประชาชนที่จังหวัดปัตตานี รวมถึงภาษาที่รัฐบาลทหารใช้คือ สร้างการรับรู้เกี่ยวกับนโยบายและการดำเนินแผนงานโครงการของรัฐบาลในรอบ 3 ปี

อย่างไรก็ดี มีสิ่งที่ทำให้หลายคนตกอกตกใจ ไม่ใช่เรื่องท่านผู้นำนั่งรถกันกระสุนลงพื้นที่ แต่เป็นท่าทีของบิ๊กตู่ที่ตะคอกใส่ชายคนหนึ่งซึ่งเป็นชาวประมงมาร้องเรียนความเดือดร้อนเรื่องจำนวนวันในการทำประมง ด้วยเสียงอันดังว่า “อย่ามาเถียงฉัน อย่ามาส่งเสียงกับผม เข้าใจเปล่า ผมฟังคุณนี่ พูดดีๆ ก็ได้” เดือดร้อนถึงเลขาธิการนายกฯและนายอำเภอหนอกจิก เจ้าของพื้นที่ ต้องรีบมาทำความเข้าใจ และพาไปร้องเรียนที่ศูนย์ดำรงธรรม ของกระทรวงมหาดไทย ที่มีการตั้งเต็นท์บริเวณงาน

สืบสาวราวเรื่องได้ความว่าชายคนดังกล่าวชื่อ ภรัณยู เจริญ เคยรวมตัวกับผู้ประกอบการประมงไปยื่นหนังสือต่อรัฐบาลมาแล้วครั้งหนึ่งที่ลานพระราชวังดุสิต แต่ยังคงได้รับความเดือดร้อน เมื่อท่านผู้นำลงมาในพื้นที่รอฟังว่าจะมีการพูดถึงสิ่งที่ได้ไปร้องเรียนหรือเปล่า กลับไม่มี จึงได้ตะโกนถามเพื่อให้นายกฯพูดและรับรู้ ไม่ได้ขู่หรือตะคอก เพราะบรรยากาศในงานเสียงดัง ทำให้ท่านผู้นำไม่พอใจมองว่าชายคนนี้ตะคอกใส่

แม้จะดูเป็นเรื่องที่ไม่น่าจะมีอะไร ใช่ถ้าคนที่แสดงอาการดังกล่าวไม่ใช่ผู้นำประเทศ ต้องไม่ลืมว่าเมื่อภาพดังกล่าวถูกเผยแพร่ไปทั่วโลก นี่ย่อมสะท้อนภาพผู้นำประเทศไทยซึ่งมีที่มาจากการรัฐประหาร บวกเข้ากับท่าทีที่ดุดันและตะคอกกลับประชาชนเช่นนี้ คนทั่วไปเขาจะมองอย่างไร สุดท้ายก็คงหนีไม่พ้นข้อแก้ตัวอันคลาสสิก ผมไม่ได้โมโหแต่แค่พูดเสียงดัง ทั้งๆ ที่เห็นว่าท่านยัวะจัด

เลยไม่รู้ว่าการออกอาการหงุดหงิดใส่ประชาชนเช่นนี้ เป็นผลมาจากการเสพข่าวที่ นิพิฏฐ์ อินทรสมบัติ รองหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ วิจารณ์รัฐบาลคสช.และเปิดทางเรื่องความเป็นไปได้ที่จะจับมือกับพรรคคู่แค้นอย่างเพื่อไทยสกัดนายกรัฐมนตรีคนนอกหรือเปล่า การพูดของนิพิฏฐ์รอบนี้ไม่ว่าจะด้วยกลอนพาไปหรือบริบทของเวทีเสวนาที่สมาคมนักข่าวนักหนังสือพิมพ์แห่งประเทศไทย แต่ก็ถือเป็นการสะท้อนภาพทางการเมืองที่ผ่านมาและเป็นอยู่ในปัจจุบันอย่างตรงไปตรงมา

การเมืองต้องมีความหวัง แม้ว่าโอกาสจะริบหรี่ถ้าเราจะเซ็ตซีโร่ระบบคสช.และทหารถึงเวลานั้นก็ไม่มีทางออกอะไร ทุกอย่างก็เกิดขึ้นได้ ความคิดสุดขั้วของแต่ละฝ่ายต้องออกไปก่อน มีคนพูดว่าต้องสู้ให้ตายกันไปข้างหนึ่ง แต่ถ้ายอมรับความจริงว่าซ้ายมือก็คนไทย ขวามือก็คนไทย ข้างหน้าข้างหลังก็คนไทย แล้วจะสู้ให้ตายไปข้างหนึ่งหรือ

วันนี้เราคุยกันด้วยเลือดด้วยชีวิตพอหรือยัง ถ้าพอแล้วก็ต้องคุยกันด้วยสันติวิธี ถ้าไม่คิดก็ไม่มีทางที่จะล้มระบบที่ไม่พึงปรารถนาออกไปได้ และไม่มีข้อเท็จจริงใดเลยที่จะเอาระบบทหารออกจากการเมืองได้ นอกจากพรรคการเมืองจับมือจัดตั้งรัฐบาลเอง และความขัดแย้งจะเกิดขึ้นหรือไม่ขึ้นอยู่ที่ส.ว. 250 เสียง ว่าอยู่ข้างรัฐบาลที่ประชาชนเลือกหรือไม่ หรือไปสนับสนุนคนที่ประชาชนไม่ได้เลือกมา

สิ่งที่เป็นประเด็นอยู่ตรงที่นิพิฏฐ์บอกว่า สิ่งที่ยากที่สุดในอนาคตคือความขัดแย้งจะเกิดขึ้นจริงหลังจากการเลือกตั้ง เพราะไม่มีทางที่จะตั้งรัฐบาลได้เลย ต้องดูส.ว.ด้วยว่าจะไปฝั่งไหน ถ้าส.ว.ไม่ยืนอยู่ข้างประชาชนรัฐบาลก็ไม่เกิด แต่ถ้าตั้งรัฐบาลได้ในอนาคตก็เป็นรัฐบาลเสียงข้างน้อย ไม่มีทางตั้งรัฐบาลเสียงข้างมากได้เลย ถ้าโชคดีพรรคเพื่อไทยรวมเสียงกับพรรคประชาธิปัตย์ซึ่งก็ต้องดูในอนาคต แต่มีความยาก

ความจริงที่เชื่อว่าคนพรรคเก่าแก่เองเริ่มมองเห็น แม้ที่ผ่านมาจะมีส่วนโบกมือดักกวักมือเรียกให้เกิดการรัฐประหารก็ตาม คือสิ่งที่นิพิฏฐ์บอกว่า ตนพูดมาตลอดเมื่อวินาทีแรกของการยึดอำนาจเกิดขึ้น วินาทีที่สอง ต้องทำเรื่องปรองดอง การปรองดองไม่ควรเกิดในวินาทีที่ 3 ของการยึดอำนาจ เพราะการยึดอำนาจเกิดจากความขัดแย้ง ดังนั้น ผู้ยึดอำนาจต้องทำให้ความปรองดองเกิดขึ้นให้ได้ แต่การบ้านของผู้ยึดอำนาจเปลี่ยนไปเรื่อยๆ และมาทำเรื่องปรองดองในวินาทีสุดท้ายก่อนหมดอำนาจ

วันนี้เราอยู่ในอุโมงค์ แต่เราไม่เห็นแสงสว่าง เราก็เดินไปแบบมืดๆ เราหวังที่จะให้คสช.ให้แสงสว่างเดินไปสู่ปลายอุโมงค์คงจะยาก ประเด็นนี้ก็สอดรับกับที่ ณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ แกนนำเสื้อแดงพูดบนเวทีเดียวกัน แรกๆ เราก็เฝ้ามองอยู่บ้างว่า หลังจากคสช.เข้ามาแล้วจะมาทำอะไรบ้าง แต่ดูไปก็ชัดเจนว่าไม่เหลืออะไรให้มองหา และไม่เห็นอะไรให้ตั้งความหวัง

ไม่ได้ปรามาสแต่เป็นข้อเท็จจริง ล่าสุดมีการเดินหน้าเรื่องการปรองดองอีก นึกว่าคราวนี้น่าจะเห็นอะไรเป็นชิ้นเป็นอันบ้าง แต่เห็นแค่ร่างสัญญาประชาคมซึ่งโผล่มาแว็บเดียว แต่สรุปได้ทันทีว่าไม่มีอะไรเป็นรูปธรรม และขณะนี้ไม่นึกว่าผู้นำจะลุกขึ้นมาทำเรื่องปรองดองอีก เพราะมันมาไกลแล้วก็รู้สึกเหน็ดเหนื่อย ไม่มีอะไรก้าวหน้า ในทางกลับกันสิ่งที่ผู้มีอำนาจสื่อสารมาถึงฝ่ายการเมือง ก็ไม่มีพัฒนาการของคำว่าปรองดอง

ณัฐวุฒิมองต่อว่า การปรองดองจะเกิดขึ้นได้สังคมต้องมีความเป็นประชาธิปไตยก่อน แต่วันนี้กฎหมายรัฐธรรมนูญไม่เอื้อ และมีการพูดว่าหลังกฎหมายลูก 4 ฉบับที่เกี่ยวข้องกับการเลือกตั้งเสร็จ จะไปสู่กลไกการเลือกตั้ง ซึ่งอย่าเพิ่งไปมองไกลขนาดนั้น ขณะนี้จากการที่กฎหมายลูกพรรคการเมืองมีผลใช้บังคับแต่ยังไม่มีการปลดล็อกให้พรรคการเมืองทำกิจกรรม ดังนั้น จะมาถามหาความปรองดองบนซากปรักหักพังคงถามหาได้ยากเกินจริง

เหมือนที่ จาตุรนต์ ฉายแสง เห็นว่าการสร้างความปรองดองถือเป็นเรื่องที่คสช.ล้มเหลวที่สุด เพราะที่ผ่านมาไม่เคยมีการพูดกันอย่างใช้เหตุใช้ผล และไม่มีกรรมการที่เป็นอิสระและเป็นกลางมาศึกษาปัญหา สุดท้ายข้อเสนอต่างๆ ก็หายไปกับสายลม สังคมไทยก็จะอยู่ในสภาพที่มีความวุ่นวาย จะกลายเป็นสภาพว่าจำเป็นต้องมีคสช.ต่อไป ดังนั้น สองพรรคใหญ่ต้องไม่ปิดโอกาสที่จะจับมือกัน ท่วงทำนองแบบนี้นี่ไงที่น่าจะทำให้ท่านผู้นำไม่สบอารมณ์ แต่ถ้าเข้าใจลักษณะของบางพรรคการเมืองก็ไม่จำเป็นต้องเครียดอะไร

Back to top button