พาราสาวะถี

ขยันออกมาตั้งข้อสังเกตต่อเนื่องว่าด้วยการปฏิบัติตามกฎหมายประกอบรัฐธรรมนูญและรัฐธรรมนูญ โดยเฉพาะที่เกี่ยวข้องกับคณะกรรมการการเลือกตั้ง และดูเหมือนว่าการจับประเด็นล่าสุดของ สมชัย ศรีสุทธิยากร เป็นการโยนหินที่น่าจะหล่นโดนศีรษะใครบางคน เกี่ยวกับการเลือกกกต. 2 รายจากที่ประชุมใหญ่ศาลฎีกา ที่ใช้วิธีการลงคะแนนลับ ซึ่งกกต.ชายเดี่ยวเห็นว่าน่าจะเป็นการขัดต่อกฎหมายว่าด้วยกกต.


อรชุน

ขยันออกมาตั้งข้อสังเกตต่อเนื่องว่าด้วยการปฏิบัติตามกฎหมายประกอบรัฐธรรมนูญและรัฐธรรมนูญ โดยเฉพาะที่เกี่ยวข้องกับคณะกรรมการการเลือกตั้ง และดูเหมือนว่าการจับประเด็นล่าสุดของ สมชัย ศรีสุทธิยากร เป็นการโยนหินที่น่าจะหล่นโดนศีรษะใครบางคน เกี่ยวกับการเลือกกกต. 2 รายจากที่ประชุมใหญ่ศาลฎีกา ที่ใช้วิธีการลงคะแนนลับ ซึ่งกกต.ชายเดี่ยวเห็นว่าน่าจะเป็นการขัดต่อกฎหมายว่าด้วยกกต.

ที่สมชัยหยิบยกมาเป็นข้อกังวลคือ ตามมาตรา 12 วรรคสาม ของพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยกกต. กำหนดให้ในการสรรหาหรือคัดเลือกให้ใช้วิธีการลงคะแนนโดยเปิดเผย และให้กรรมการสรรหาฯแต่ละคนบันทึกเหตุผลในการเลือกไว้ด้วย เมื่อตีความตามมาตรานี้การสรรหาหมายถึงการสรรหาโดยกรรมการสรรหาซึ่งต้องได้รับคะแนนเสียง 2 ใน 3

ส่วนการคัดเลือกหมายถึงการเลือกจากที่ประชุมใหญ่ศาลฎีกาต้องได้คะแนนเสียงเกินกึ่งหนึ่งของที่ประชุม ซึ่งในทั้งสองกรณี กำหนดให้ใช้วิธีการลงคะแนนโดยเปิดเผย แต่ในการคัดเลือกตัวแทนจากศาลในครั้งแรกเมื่อวันที่ 17 พฤศจิกายนที่ผ่านมา กลับเป็นการลงคะแนนลับ โดยเป็นผลการปรึกษาหารือของรองประธานศาลฎีกา 6  คนว่าขอให้มีการลงคะแนนโดยลับ และการเลือกตัวแทนจากศาลในวันที่ 6 ธันวาคม  ก็เป็นการลงคะแนนโดยลับอีกครั้งหนึ่ง

โดยความห่วงใยของสมชัยด้วยเกรงว่า ประเด็นนี้จะมีการหยิบยกขึ้นมาร้องเรียนในเร็วๆ นี้ สำหรับตนไม่ได้รู้จักกับผู้สมัครทั้งที่ได้และไม่ได้รับการเลือก แต่เห็นว่าหากจะดำเนินการเรื่องใดก็ควรดำเนินการให้ถูกกฎหมาย เพื่อให้เกิดความสง่างาม โดยเฉพาะในฟากฝั่งของศาลซึ่งเป็นผู้รักษากฎหมาย ก็ควรเป็นแบบอย่างที่ถูกต้องของการรักษากฎหมายโดยเคร่งครัด

ก่อนที่จะสำทับอีกรอบว่า สิ่งที่ทักท้วง มิใช่เรื่องที่อยากจะอยู่ต่อ เพราะเพียงแค่ให้มีการลงมติใหม่ให้ถูกต้องตามกฎหมาย จะใช้เวลาเพิ่มขึ้นไม่เกิน 1 เดือน แต่ไม่เป็นปัญหาในอนาคตว่าที่มาของกกต.ชุดใหม่เป็นไปโดยมิชอบ การทำงานในอนาคตก็เกิดความสง่างาม และในการประชุมกกต.วันนี้ สมชัยก็จะนำประเด็นดังกล่าว เข้าปรึกษาหารือในที่ประชุมด้วยเพื่อให้เกิดการดำเนินการที่เหมาะสม ต้องรอดูว่าที่ประชุม กกต.จะมีความเห็นอย่างไรในเรื่องนี้

อย่างไรก็ตาม ทางด้าน สุริยัณห์ หงษ์วิไล โฆษกศาลยุติธรรม กล่าวถึงกรณีดังกล่าวว่า การลงคะแนนคัดเลือกผู้สมควรที่จะได้เป็นกกต.ในที่ประชุมใหญ่ศาลฎีกา ได้ดำเนินการขั้นตอนทุกอย่างถูกต้องตามกฎหมายแล้ว และไม่ประสงค์ชี้แจงเพราะจะกลายเป็นการโต้ตอบไปมา ซึ่งน่าขีดเส้นใต้ต่อถ้อยแถลงดังกล่าว ความจริงเรื่องนี้ไม่ใช่การตอบโต้ หากแต่เป็นเรื่องที่จะต้องชี้แจงไม่ให้มีข้อกังขา

หรือเหตุที่สุริยัณห์ชี้แจง เป็นเพราะยึดตามระเบียบศาลฎีกาว่าด้วยการคัดเลือกผู้สมควรได้รับแต่งตั้งเป็นกกต. 2560 ข้อ10 ที่บัญญัติไว้ว่าการลงมติเลือกผู้สมควรได้รับการแต่งตั้งเป็นกกต.ให้กระทำโดยเปิดเผย ด้วยการทำเครื่องหมายกากบาทอย่างชัดเจนลงหน้าชื่อและนามสกุลผู้ซึ่งตนเลือกจำนวนไม่เกิน 2 คนหรือจำนวนเท่าที่ยังขาดอยู่ ซึ่งบัตรการลงมติดังกล่าวจะมีการระบุหมายเลขที่ยืนยันด้วยว่าบัตรดังกล่าวเป็นชื่อของผู้พิพากษาคนใด ดังนั้น จึงมองว่าเป็นการลงคะแนนโดยเปิดเผยถูกต้องตามกฎหมายทุกประการแล้ว

แต่การตีความในข้อกฎหมายประเด็นนี้ ก็น่าสนใจ เพราะเมื่อฟัง พรเพชร วิชิตชลชัย ประธานสนช. ก็บอกว่า ต้องมีการตรวจสอบเพราะกฎหมายกำหนดให้ลงคะแนนโดยเปิดเผย จะใช้วิธีลับไม่ได้ ถ้าที่ประชุมใหญ่ศาลฎีกามีการยกมือในการพิจารณาก็ถือว่าเปิดเผย แต่หากเป็นไปอย่างที่ระเบียบของศาลฎีกาว่าไว้ เมื่อไม่ใช่การยกมือ จะถือเป็นการเปิดเผยหรือไม่

ขณะที่ วิษณุ เครืองาม เนติบริกรฝั่งรัฐบาลก็โยนภาระให้ไปเป็นเรื่องขององค์กรต้นทาง โดยบอกว่า ตนไม่ได้ดูเรื่องนี้ ขอให้ถามคณะกรรมการสรรหากกต. ตนไม่รู้ข้อเท็จจริงว่าในที่ประชุมศาลฎีกาเพื่อเลือกผู้มาเป็นกรรมการกกต. มีการลงคะแนนอย่างไร แต่ถ้าขัดต่อกฎหมายจริงและการสรรหานั้นเป็นโมฆะ ก็ต้องดำเนินการสรรหาใหม่

เมื่อเป็นมติจากที่ประชุมใหญ่ศาลฎีกาให้เลือกตัวแทนเป็นกกต. 2 คน ดังนั้น เลขานุการที่ประชุมใหญ่ศาลฎีกาคงต้องชี้แจงต่อสังคม แต่ถ้าไม่ชี้แจง คงจะมีวิธีใดวิธีหนึ่งดำเนินการ ก่อนจะนำความขึ้นกราบบังคมทูล ซึ่งประธานสนช.เป็นผู้ที่นำรายชื่อกราบบังคมทูลจะต้องตรวจสอบข้อสงสัย ทั้งนี้ ที่ผ่านมาไม่เคยได้ยินว่ามีปัญหาเช่นนี้

นี่แหละที่จะต้องตรวจสอบกันให้ชัดเจน ประเภทกลัวจะเสียหน้าหรือยึดความเป็นตัวกูของกูต้องไม่ถูกนำมาใช้กับประเด็นความศักดิ์สิทธิ์ของกฎหมาย เพราะสิ่งที่เกิดขึ้นจะถือเป็นบรรทัดฐาน แน่นอนว่า หากถูกนำไปขยายผลในทางที่บิดเบือน ก็จะกระทบต่อความเชื่อถือเชื่อมั่น ดังนั้น กรณีนี้ถ้าจะช้าไปนิดแต่ชัวร์ ก็ไม่ควรกลัวที่จะต้องเสียเวลา

กลายเป็นว่านอกเหนือจากที่จะต้องลุ้นการพิจารณาของสนช.ต่อกฎหมายลูก 2 ฉบับที่จะนำไปสู่การเลือกตั้งคือกฎหมายว่าด้วยการเลือกตั้งส.ส.และการได้มาซึ่งส.ว. ที่ประเด็นการคว่ำร่างกฎหมายเริ่มจะมีกระแสเกิดขึ้นมา ซึ่งนั่นหมายความถึงโรดแมปเลือกตั้งจะล่าช้าออกไปอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ กลับมามีประเด็นเช่นนี้เกิดขึ้นมาอีก

เท่ากับว่าหากสนช.ไม่เห็นชอบผู้ที่ได้รับคัดเลือกเป็นกกต.จากที่ประชุมใหญ่ศาลฎีกา จากความเห็นต่างข้อกฎหมายเกี่ยวกับวิธีการลงคะแนนแล้ว กระบวนการต้องกลับไปสู่การเปิดรับสมัครและลงคะแนนเลือกใหม่ต่อไป ส่วนกระบวนการจะล่าช้าหรือรวดเร็วตรงนี้ไม่มีใครบอกได้ แต่อย่างที่สมชัยว่าเมื่อเห็นเป็นปัญหาก็ต้องทำให้ถูกต้องและไร้ข้อครหา

ยอมรับว่าเสียรังวัดมหาศาลจากการไปประชุมครม.สัญจรที่สงขลา คราวไปตรวจน้ำท่วมที่ตรังเมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมา พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา จึงออกอาการอ้อนคนใต้ว่า เป็นคนพูดตรง เสียงดังแต่จริงใจ ต่อไปจะระงับอารมณ์ให้มากขึ้น ไม่ตอบโต้ใคร แต่หากไม่ได้ระบายออกมาหน้าตาตนก็ออกจะคว่ำๆ หน่อย ยืนยันว่ารักและชื่นชมคนใต้ หวานขนาดนี้ไม่รู้จะได้ใจขนาดไหน ที่แน่ๆ การที่มีประชาชนตะโกนบอกรักนายกฯกับคำถามว่ามีใครเกลียดตนไหม ก็น่าจะทำให้ท่านผู้นำนอนตาหลับและสบายใจได้แล้ว

Back to top button