หนูไม่รู้

ไม่รู้ว่าเป็นเพราะเจ้าหน้าที่รัฐของกระทรวงการคลังไร้เดียงสาเสียจนกระทั่งไม่เคยเที่ยวหรือใช้บริการสถานบริการประเภทอาบ-อบ-นวดกันหรืออย่างไร ทำให้คำแถลงที่ออกมา ช่างไร้เดียงสาชวนให้น่าเวทนา มากกว่าปกติ


พลวัตปี 2018 : วิษณุ โชลิตกุล

ไม่รู้ว่าเป็นเพราะเจ้าหน้าที่รัฐของกระทรวงการคลังไร้เดียงสาเสียจนกระทั่งไม่เคยเที่ยวหรือใช้บริการสถานบริการประเภทอาบ-อบ-นวดกันหรืออย่างไร ทำให้คำแถลงที่ออกมา ช่างไร้เดียงสาชวนให้น่าเวทนา มากกว่าปกติ

เมื่อวานนี้  นางสาวปิยวรรณ ล่ามกิจจา รองผู้อำนวยการสำนักงานคณะกรรมการนโยบายรัฐวิสาหกิจ (สคร.) ออกมาแถลงข่าว  กล่าวถึงกรณีกระแสวิจารณ์ว่า กระทรวงการคลังถือหุ้นธุรกิจอาบ-อบ-นวด และมีความเชื่อมโยงถึงสถานบริการชื่อดังที่กำลังตกเป็นข่าว ”วิคตอเรีย ซีเครท” ว่า พบข้อเท็จจริงบางประการ

ข้อเท็จจริงที่ว่าคือ กระทรวงการคลังถือหุ้นในบริษัทในกลุ่มเดวิส 4 บริษัทจริง (ซึ่งเคยเป็นธุรกิจในกำมือของนายชูวิทย์ กมลวิศิษฎ์ อดีตเจ้าของฉายา “เสี่ยอ่าง”) โดยได้รับโอนมาจากสำนักงานป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน หรือ ปปง.  ตามคำพิพากษาศาลฎีกา เมื่อปี 2555

หุ้นในกลุ่มดังกล่าว ประกอบด้วยหุ้นของบริษัท เดวิส ไดมอนด์สตาร์ จำกัด จำนวน 10,000 หุ้น บริษัท เดวิส โคปา คาบานา จำกัด จำนวน 6,000 หุ้น บริษัท เดวิส โกลเด้นท์สตาร์ จำกัด จำนวน 7,446 หุ้น และบริษัท เดวิส ซิลเวอร์สตาร์ จำกัด จำนวน 10,000 หุ้น  ทั้งนี้ สคร.และกระทรวงการคลังไม่ทราบว่าลึกๆ แล้วทั้ง 4 บริษัทเกี่ยวข้องอย่างไรกับ วิคตอเรีย ซีเครท โดยสัดส่วนที่ถือหุ้นใน 4 บริษัทนั้นน้อยมาก 0.5-2% ไม่มีอำนาจในการบริหารจัดการ และยังไม่เคยได้เงินปันผลจากทั้ง 4 บริษัทดังกล่าว

รองผู้อำนวยการ สคร.แถลงข่าวหน้าตาเฉย อย่างใสซื่อไร้เดียงสาว่า “เท่าที่ตรวจสอบกับกรมพัฒนาธุรกิจการค้า ทั้ง 4 บริษัทแจ้งว่าทำธุรกิจให้เช่าอสังหาริมทรัพย์”

พูดอย่างนี้ ได้ฮากันไปหลายวัน เพราะใครๆ ก็รู้ว่า ธุรกิจในเครือดังกล่าว คืออะไร

หาก ท่านรองผู้อำนวยการ สคร. ลองพลิกดูคำสั่งเก่าเรื่องนี้ของคณะกรรมการธุรกรรม ปปง. ก่อนมาแถลงข่าว จะรู้ได้เลยว่า เป็นธุรกิจอสังหาริมทรัพย์จริงหรือไม่

คำสั่งของปปง.ครั้งนั้นระบุชัดเจนว่า จากการตรวจสอบพบว่า นายชูวิทย์ กมลวิศิษฎ์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท โฮแปซิฟิค จำกัด กับพวก มีหุ้นในบริษัทอื่นในเครือเดวิสกรุ๊ป จำนวน 4 บริษัท และเป็นกรณีปรากฏหลักฐานเป็นที่เชื่อได้ว่าเป็นทรัพย์สินที่เกี่ยวกับการกระทำความผิดเพิ่มขึ้นอีก 4 รายการ ซึ่งเป็นทรัพย์สินที่เกี่ยวกับการกระทำความผิดเกี่ยวกับ”…การเป็นธุระ จัดหา ล่อไปซึ่งบุคคลใด เพื่อให้บุคคลนั้นกระทำการค้าประเวณี แม้บุคคลนั้นจะยินยอมก็ตาม เป็นการกระทำแก่บุคคลอายุกว่าสิบห้าปีแต่ไม่เกินสิบแปดปี, เป็นเจ้าของกิจการค้าประเวณี หรือสถานการค้าประเวณี มีบุคคลซึ่งมีอายุกว่าสิบห้าปีแต่ไม่เกินสิบแปดปีทำการค้าประเวณีรวมอยู่ด้วย อันเป็นความผิดมูลฐานตามมาตรา 3 (2) แห่งพระราชบัญญัติป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน พ.ศ.2542 และมีเหตุอันควรเชื่อได้ว่าอาจมีการโอน จำหน่าย ยักย้าย ปกปิด หรือ ซ่อนเร้น ทรัพย์สินที่เกี่ยวกับการกระทำความผิด …”

ตามข้อมูลของท่านรองผู้อำนวยการ สคร. กระทรวงการคลังได้รับโอนหุ้นทั้งเครือเดวิส มาตามคำสั่งสำนักงาน ปปง. เมื่อวันที่ 17 มกราคม 2555 ซึ่งเป็นไปตามคำพิพากษาศาลฎีกา และหุ้นดังกล่าวเปลี่ยนแปลงเป็นชื่อกระทรวงการคลังเมื่อวันที่ 15 พฤศจิกายน 2555 โดยที่ “…กระทรวงการคลังไม่ทราบว่าเจ้าของผู้ถือหุ้นเดิมคือใคร แต่จำเป็นต้องถือไว้ เพราะทรัพย์ที่ยึดมาดังกล่าวถือเป็นสมบัติชาติ ซึ่งกระทรวงการคลังไม่ได้มีเจตนาถือครอง หรือเข้าไปบริหารจัดการธุรกิจดังกล่าว…”

พูดอย่างนี้ หมายความว่ากระทรวงการคลังมีส่วนร่วมในกระบวนการ “คามนุษย์” ที่มีความผิดตามกฎหมาย “โดยสุจริต”  อย่างนั้นหรือ เป็นคำถามที่ยังต้องการคำตอบ

นางสาวปิยวรรณ ยังกล่าวอีกว่า ขณะนี้สคร.อยู่ระหว่างจัดทำแผนขายหุ้นในบริษัทเอกชนที่กระทวงการคลังถือหุ้น และไม่มีความจำเป็นต้องถือ เช่น บริษัทได้มาจากนิติเหตุ (ยึดทรัพย์) อย่างกรณี 4 บริษัทดังกล่าว  โดยมีมติคณะรัฐมนตรี (ครม.) เมื่อวันที่ 27 กันยายน 2559 รองรับการขายหุ้นดังกล่าวแล้ว คาดว่าแผนการขายหุ้นแล้วเสร็จในช่วงไตรมาสแรกปีนี้  โดยสคร.มีเป้าหมายขายอันดับแรกช่วงต้นปีนี้คือ ใน 24 บริษัท ที่มาจากการยึดทรัพย์ ซึ่งมี 4 บริษัทเครือเดวิสรวมอยู่ด้วย

คำถามทิ้งท้ายจากการแถลงนี้คือ การขายหุ้นกลุ่มเดวิสของ สคร.นี้ จะมีใครหน้าไหนหาญกล้ามาซื้อหุ้นของกิจการที่มีความสุ่มเสี่ยงต่อการถูกข้อกล่าวหาว่า มีส่วนร่วมในกระบวนการค้ามนุษย์ อันเป็นความผิดร้ายแรงถึงขั้นถูกอายัดหรือยึดทรัพย์ได้

การแถลงข่าวว่าจะขายทิ้งหุ้นกลุ่มเดวิส ที่เคยเป็นของเสี่ยอ่างมาก่อนนี้ จึงเป็นความไร้เดียงสา ที่เพิ่มเติมความน่าเวทนายิ่งขึ้นไปอีกชั้นหนึ่ง

ไม่ต่างอะไรกันกับคนที่เชื่อว่า คำพูดเป็นตุเป็นตะของเสียอ่างเกี่ยวกับพฤติรกรรมการฟอกเงินของบรรดาธุรกิจสีเทาในตลาดหุ้นไทย ที่ระบุว่า “ง่ายกว่าปอกกล้วยเข้าปาก” นั้น เป็นข้อเท็จจริงที่ถือเป็นสัจธรรมทางสังคม

Back to top button