พาราสาวะถี

ยังคงท่องคาถาย้ำเรื่องเดิมคือไม่สืบทอดอำนาจ สำหรับ พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา โดยล่าสุดไปพูดที่อาคารราชธรรมสภา อุทยานประวัติศาสตร์พระนครคีรี จังหวัดเพชรบุรี ซึ่งท่านผู้นำได้พบคณะผู้นำท้องถิ่นของกลุ่มจังหวัดภาคกลางตอนล่าง 2 ประกอบไปด้วยเพชรบุรี สมุทรสงคราม สมุทรสาครและจังหวัดประจวบคีรีขันธ์


อรชุน

ยังคงท่องคาถาย้ำเรื่องเดิมคือไม่สืบทอดอำนาจ สำหรับ พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา โดยล่าสุดไปพูดที่อาคารราชธรรมสภา อุทยานประวัติศาสตร์พระนครคีรี จังหวัดเพชรบุรี ซึ่งท่านผู้นำได้พบคณะผู้นำท้องถิ่นของกลุ่มจังหวัดภาคกลางตอนล่าง 2 ประกอบไปด้วยเพชรบุรี สมุทรสงคราม สมุทรสาครและจังหวัดประจวบคีรีขันธ์

สิ่งที่บิ๊กตู่ยืนยันซึ่งก็เหมือนทุกครั้งทุกเวทีที่ได้ขึ้นพูด นั่นก็คือ ในการทำงานของตัวเองก็ไม่มีเจตนาทางการเมือง เป็นการตั้งใจทำงานเพื่อประเทศชาติ โดยสิ่งที่รัฐบาลทำในวันนี้ไม่ใช่เพื่อสืบทอดอำนาจ แต่ทำเพื่อแก้ไขสิ่งที่ติดขัด แก้ไขสิ่งที่เป็นอุปสรรคที่รัฐบาลเลือกตั้งไม่สามารถทำได้ ไม่อยากให้มีการต่อต้านการเลือกตั้ง เพราะได้มีการวางโรดแมปไว้แล้ว

คำถามสำคัญคือ จะมีใครออกมาต่อต้านการเลือกตั้ง เท่าที่เห็นมีแต่กลุ่มเรียกร้องอยากเลือกตั้ง ซึ่งกำลังถูกจับตามองและดำเนินคดีจากฝ่ายความมั่นคงอยู่เวลานี้ นี่จึงเป็นการหว่านล้อม ยกตัวเองให้ดูดีมีราคาในสายตาของบรรดาผู้นำท้องถิ่น ซึ่งความจริงเมื่อมองไปยังพื้นที่ที่ไปพูดคุย ก็พอจะเข้าใจได้ว่าอย่างน้อยก็เป็นฐานเสียงสำคัญที่ร่วมกันโบกมือเรียกคณะรัฐประหารให้ออกมายึดอำนาจจากรัฐบาลเลือกตั้ง

ประโยคที่น่าขีดเส้นใต้คือ การที่ผู้มีอำนาจเรียกร้องให้ผู้นำท้องถิ่นต้องทำให้ประชาชนรับรู้ จะต้องตอบโจทย์การปฏิรูป และจะต้องตอบยุทธศาสตร์ชาติให้ได้ อย่าทำให้ประชาชนเลือกที่รักมักที่ชัง ให้มีความจริงใจต่อกัน รวมทั้งต้องทำให้ไม่เกิดปัญหาการเมืองเพื่อทำให้คนไทยมีความสุข เพราะความจริงหากมองในแง่ของการเลือกข้างแบ่งฝ่าย ในส่วนของประชาชนแม้จะยังมีอยู่แต่ก็น้อยเต็มที่

ผู้ที่ควรจะต้องเตือนตัวเองคงเป็นท่านผู้นำและคณะมากกว่า เนื่องจากได้มีการแบ่งฝ่ายเลือกข้างอย่างชัดเจน ไม่ได้เป็นกรรมการที่เข้ามาสร้างความเป็นกลาง อำนวยความยุติธรรมให้กับทุกฝ่าย หากแต่ทำตัวเป็นคู่ขัดแย้งเสียเอง โดยเฉพาะฝ่ายที่ทวงถามเรื่องสิทธิ เสรีภาพ สิทธิมนุษยชนและถามถึงความเป็นประชาธิปไตย

คำตอบที่ได้จากท่านผู้นำทุกครั้งคือ กำลังทำอยู่ กำลังปฏิรูปอยู่ ทั้งๆที่กฎหมายพรรคการเมืองมีผลบังคับใช้มาตั้งแต่เดือนตุลาคมปีที่แล้ว แต่จนป่านนี้ก็ยังไม่มีการปลดล็อกให้พรรคการเมืองทำกิจกรรม มิหนำซ้ำ ยังมีการออกคำสั่งตามมาตรา 44 มาเอื้อประโยชน์ให้กับผู้ที่ประสงค์จะต้องพรรคการเมืองใหม่อีกต่างหาก จนถูกมองว่าเป็นการเอื้อให้กับพวกที่จะสนับสนุนผู้มีอำนาจปัจจุบันให้กลับมาสืบทอดอำนาจนั่นเอง

ทั้งที่ความจริงแล้ว เมื่อการเลือกตั้งคือการแข่งขัน ผู้ที่จะลงเล่นในเกมดังกล่าวจะต้องใช้กติกาเดียวกัน ทุกอย่างต้องปฏิบัติเหมือนกันและพร้อมกัน แต่นี่กลับอ้างว่าพรรคใหม่เสียเปรียบทำโน่นทำนี่ไม่ทัน จึงให้เริ่มก่อน เท่ากับเป็นการช่วงชิงความได้เปรียบ ทั้งที่หากเทียบเคียงกับเกมกีฬาที่เป็นสากล ไม่ว่าจะมือใหม่หรือทีมที่เพิ่งเลื่อนชั้น ก็ไม่เห็นใครได้อภิสิทธิ์ด้วยข้ออ้างที่ว่าคนเก่าทีมเก่าเก่งกว่าหรือมีประสบการณ์มากกว่า

ทั้งหมดเป็นการใช้ความรู้สึกของผู้มีอำนาจล้วนๆ คิดเองเออเองและตัดสินใจเอง โดยไม่ได้ถามผู้มีส่วนได้เสียทั้งหมดว่า มีความประสงค์จะให้เป็นเช่นนั้นหรือไม่ จะมีเพียงก็แค่บางพวกบางรายที่ชอบตีตั๋วฟรี เวลามีอำนาจก็มาจากการลากตั้งทุกครั้ง พอจะไปเล่นเกมการเมืองที่ต้องเสนอตัวให้ประชาชนเลือก จึงอดไม่ได้ที่จะขอสิทธิพิเศษเหนือใคร และบังเอิญว่าผู้มีอำนาจก็บ้าจี้ให้ตามที่ร้องขอเสียด้วย

ส่วนความเคลื่อนไหวว่าด้วยการจดแจ้งพรรคใหม่ พรรคมวลมหาประชาชนฯของ สุเทพ เทือกสุบรรณ ทำท่าว่าจะแท้งตั้งแต่ยังไม่ได้เริ่มปฏิสนธิเสียแล้ว โดยฟังจากเหตุผลที่เทพเทือกอ้าง ได้พูดชัดเจนต่อประชาชนทั้งประเทศเป็นสัจจะวาจาแล้วว่าจะไม่ลงสมัครรับเลือกตั้งเป็นส.ส. จะไม่รับตำแหน่งหน้าที่ในทางการเมืองใดๆ และจะไม่เป็นกรรมการบริหารพรรคการเมืองใดทั้งสิ้น

ฟังดูแล้วทำเอาเคลิ้มตาม แต่พอมาจบที่ว่าด้วยความเป็นประชาชนคนหนึ่งย่อมมีสิทธิ เสรีภาพในทางการเมือง หากมีประชาชนมาชวนหรือมาคุยด้วย ก็พร้อมให้ข้อแนะนำ จากความคิดหรือประสบการณ์ ส่วนจะไปเป็นสมาชิกหรือไม่นั้น ขอย้ำว่าตอนนี้ยังไม่มีอะไรชัดเจน เลยกลายเป็นการแทงกั๊ก ที่ชวนให้เชื่อว่าน่าจะโน้มเอียงไปในทางสังฆกรรมหรืออยู่เบื้องหลังพรรคหนึ่งพรรคใดอย่างแน่นอน

ขณะที่การพูดถึงสิ่งที่ ธานี เทือกสุบรรณ น้องชายยืนยันเรื่องกปปส.จะต้องพรรคแล้วโยนให้เป็นเรื่องความคิดเห็นส่วนตัว ดูยังไงก็ไม่น่าจะเป็นไปในทิศทางนั้น หากไม่มีสัญญาณจากผู้นำม็อบนกหวีด น้องชายคงไม่ถือวิสาสะออกมาพูดในสิ่งที่พี่ชายของตัวเองบอกว่ายังไม่ได้คิด เพียงแต่ว่าสาเหตุที่ต้องชะงัก น่าจะมาจากแนวร่วมตั้งพรรคในระนาบแกนนำเสียมากกว่า

ฉายหนังซ้ำเรื่องระดับนำที่เป็นอดีตส.ส.ประชาธิปัตย์ไม่เข้าร่วมอย่างที่คาดหวัง ถือเป็นประเด็นหลักสำหรับการตัดสินใจตั้งพรรคของกปปส. ยิ่งฟังเทพเทือกอธิบายยิ่งเห็นความกระจ่างชัด โดยอ้างว่า ตกลงตั้งแต่เริ่มก่อม็อบ บรรดาบุคคลที่เป็นนักการเมือง มาจากพรรคการเมืองไหนก็กลับพรรคการเมืองของตัวเอง ส่วนตัวไม่กลับไปพรรคเก่าแก่ชัวร์

จากคำพูดดังกล่าวยิ่งเป็นการตอกย้ำเสียงวิจารณ์ที่ว่า เรื่องการตั้งพรรคนั้นเดิมทีมีการวาดฝันถึงจำนวนอดีตส.ส.ที่จะเข้ามาเดินร่วมแนวทางเดียวกัน แต่เมื่อถึงเวลาบรรดาแกนนำกลับเมินไม่เอาด้วย ขนาดหัวขบวนสำคัญอย่าง ถาวร เสนเนียม ยังประกาศชัดเจนว่าจะอยู่กับพรรคประชาธิปัตย์ต่อไปล้านเปอร์เซ็นต์ ตรงนี้ก็พอจะชี้ให้เห็นแล้วว่าเป็นเรื่องของ”บารมี”ที่จะทำให้ชนะการเลือกตั้งในภาคใต้ล้วนๆ ระหว่าง ชวน หลีกภัย กับเทพเทือก

ไม่เพียงเท่านั้น สิ่งที่ทำให้คนอย่างเทพเทือกเสียรังวัดจนแกนนำหดแนวร่วมหายคงเป็นการยกมือหนุนบิ๊กตู่และคณะรัฐประหารอย่างสุดลิ่มทิ่มประตู จนถึงวันนี้ก็ยังเชื่อมั่นว่ารัฐบาลคสช.จะแก้ปัญหาประเทศได้ ทำให้ชีวิตความเป็นอยู่ของประชาชนดีขึ้นได้ ซึ่งมันสวนทางกับสภาพความเป็นจริง ด้วยภาวะหลับหูหลับตาเชียร์นี่เอง ที่เป็นอีกหนึ่งเหตุผลสำคัญทำให้แนวร่วมเดิมไม่อาจจะอยู่ร่วมหัวจมท้ายกับลุงกำนันได้ ขืนดันทุรังต่อไปมีแต่เจ๊งกับเจ๊งเท่านั้น

Back to top button