แนวรับของขาช้อน

เมื่อวานนี้ ตลาดหุ้นไทยออกอาการแกว่งตัวผิดปกติอย่างมากในการซื้อขายระหว่างวัน ไม่ค่อยเกิดเหตุการณ์แบบนี้บ่อยครั้ง


พลวัตปี 2018 : วิษณุ โชลิตกุล

เมื่อวานนี้ ตลาดหุ้นไทยออกอาการแกว่งตัวผิดปกติอย่างมากในการซื้อขายระหว่างวัน ไม่ค่อยเกิดเหตุการณ์แบบนี้บ่อยครั้ง

ช่วงเปิดตลาดเช้าวานนี้ มีความพยายามดันราคาหุ้นอื่นที่นอกเครือ ปตท.ที่กลายเป็นตัวถ่วงตลาดเพราะข่าวร้ายเรื่องธรรมาภิบาลของบริษัทในเครือ จนร่วงยกกลุ่ม แต่ดัชนีก็ยังปิดภาคเช้าในแดนบวก ก่อนที่เปิดตลาดภาคบ่ายจะถูกข่าวร้ายจากการเตรียมความพร้อมให้มาตรการทางการค้าเล่นงานกันระหว่างสหรัฐฯ และจีน ทำให้ดัชนีถูกแรงขายกดดันลงหลุดแนวรับ 1,590 จุดลงไป แต่ท้ายตลาดแรงซื้อในหุ้นบลูชิพบางรายการดันดัชนีกลับมายืนในแดนบวกสำเร็จ ปิดเหนือแนวรับสำคัญ 1,600 จุดที่ทำท่าเป็นแนวต้านอันแข็งแกร่งได้ ทำให้เส้นกราฟทางเทคนิคดูดี แม้ว่าค่าบาทในช่วงบ่ายจะอ่อนยวบเหนือ 33.10 บาทต่อดอลลาร์ก็ตาม

คำอธิบายถึงปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นในตลาดวานนี้ง่าย ๆ คือ มีแรงช้อนซื้อที่แนวรับในเขตขายมากเกินใต้ดัชนี 1,600 จุด  แต่ก็ไม่มีคำตอบว่า แรงช้อนนี้จะจริงจังแค่ไหน เพราะเค้าลางของมรสุมของสงครามการค้าระหว่างสหรัฐฯ-จีนที่อาจจะลุกลามไปเป็นสงครามเศรษฐกิจและการเงิน ซึ่งสร้างความไม่แน่นอน ก็คืบคลานมาพร้อมปะทุตามกำหนดภายในวันศุกร์ที่จะถึงนี้

เป็นที่ทราบกันดีว่า รัฐบาลจีนและสหรัฐฯ เตรียมบังคับใช้มาตรการเก็บภาษีนำเข้าสินค้าต่อกันและกันอย่างเป็นทางการในวันศุกร์ที่ 6 กรกฎาคมนี้ เริ่มต้นด้วยการที่สำนักงานตัวแทนการค้าสหรัฐฯ (USTR) ได้ประกาศรายการสินค้าจำนวน 1,100 รายการของจีนที่จะถูกเรียกเก็บภาษีนำเข้าในอัตรา 25% คิดเป็นมูลค่ารวม 5 หมื่นล้านดอลลาร์ โดยสินค้าล็อตแรกจำนวน 818 รายการ มูลค่า 3.4 หมื่นล้านดอลลาร์ จะถูกเรียกเก็บภาษีตั้งแต่วันที่ 6 กรกฎาคมนี้เป็นต้นไป

ขณะที่สินค้าล็อตที่ 2 ที่เหลือ กำลังอยู่ระหว่างการพิจารณาว่าจะใช้เมื่อใด

ในทางตรงกันข้าม ทางด้านรัฐบาลจีนก็ได้เปิดเผยรายการสินค้าจำนวน 659 รายการของสหรัฐฯ ที่จะถูกเรียกเก็บภาษีนำเข้าในอัตรา 25% คิดเป็นมูลค่ารวม 5 หมื่นล้านดอลลาร์ โดยสินค้าล็อตแรกจำนวน 545 รายการ มูลค่า 3.4 หมื่นล้านดอลลาร์ ซึ่งรวมถึงสินค้าด้านการเกษตร ยานยนต์ และสินค้าทางทะเล จะถูกเรียกเก็บภาษีตั้งแต่วันที่ 6 กรกฎาคมนี้ ส่วนการเรียกเก็บภาษีนำเข้าสินค้าจำนวนที่เหลือนั้นจะมีการประกาศหลังจากนั้น ซึ่งน่าจะรอให้สหรัฐฯ ดำเนินการก่อน

สงครามการค้าสหรัฐฯ-จีนนี้ น่าจะเป็นแค่ “น้ำจิ้ม” ของสงครามที่ใหญ่กว่าคือสงครามแย่งชิงการมีอำนาจนำเหนือโลกในด้านเทคโนโลยี ซึ่งมีเดิมพันใหญ่กว่าหลายเท่า

สัปดาห์ที่ผ่านมา ชาวโลกล้วนได้รับทราบว่า อีกไม่ช้านาน ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ อาจจะมีคำสั่งห้ามบริษัทของจีนเข้าลงทุนในธุรกิจเทคโนโลยีในสหรัฐฯ และจะห้ามบริษัทสหรัฐฯ ส่งออกสินค้าเทคโนโลยีให้กับจีน โดยอ้างเหตุผลด้านความมั่นคง

สื่อใหญ่สหรัฐฯ อย่าง เดอะ วอลล์สตรีท เจอร์นัล ระบุว่า รัฐบาลสหรัฐฯ อาจจะประกาศมาตรการดังกล่าว เพื่อเป็นมาตรการตอบโต้นโยบาย “เมดอินไชน่า 2025” (Made in China 2025) ซึ่งจีนได้ริเริ่มเป้าหมายดังกล่าว เพื่อที่จะก้าวขึ้นเป็นผู้นำระดับโลกในด้านเทคโนโลยี

หากมีการประกาศจริง แนวรับของตลาดหุ้นไหนก็ไม่น่าจะเอาอยู่

เหตุผลเพราะ คำว่าแนวรับ-แนวต้าน ไม่ได้มีรากฐานโยงใยเข้ากับพื้นฐานทางเศรษฐกิจหรือผลประกอบการของกิจการ แต่เป็นส่วนหนึ่งของเกมจิตวิทยาเก็บงบกำไรธรรมดาในตลาดหุ้นและตลาดเก็งกำไรอื่น ๆ

นักลงทุนทุกรายที่เข้าสู่ตลาดหุ้น จำต้องเรียนรู้และผ่านประสบการณ์ หรืออย่างน้อยสุดต้องเคยได้ยินคำว่า “แนวรับ-แนวต้าน” กันมาแล้ว เพราะข่าวที่รายงานเกี่ยวกับตลาดหุ้น หรือ ตลาดต่างประเทศ ที่มีนักวิเคราะห์ออกมาวิเคราะห์ตลาดจะพูดถึง แนวรับ-แนวต้าน เสมอ

แล้วก็เป็นที่รับรู้โดยปริยายว่า การรู้จักแนวรับ-แนวต้าน มีส่วนสำคัญไม่น้อยที่ทำให้ลดขาดทุนเพิ่มกำไรได้

บางคนด่วนสรุปเลยว่า ไม่รู้จัก แนวรับ-แนวต้าน ไม่มีทางเทรดหุ้นได้กำไรแน่นอน ซึ่งไม่ถูกเสมอไป เพราะแม้การรู้จักแนวรับ-แนวต้าน นี่แหละ คือการเพิ่มความแม่นชั้นดี

โดยทั่วไป ประโยชน์ของ การรู้เรื่องเส้น แนวรับ แนวต้าน มีหลากหลายมาก แต่หากพิจารณาในหลักการแล้ว พบว่า ประโยชน์ของความรู้ในสัญญาณทางเทคนิคดังกล่าว มี 2 ด้านคือ

  • สามารถใช้หาจุดในการเปิดสัญญา Buy หรือ สัญญา Sell ได้อย่างง่าย ๆ เพียงแค่ดูว่าราคาเข้าใกล้สู่เส้นแนวรับแนวต้านมากน้อยเพียงใดเป็นต้น  แต่ว่าคุณอาจต้องใช้คู่กับดัชนีเทคนิคควบคู่กันด้วย ไม่สามารถใช้แค่สัญญาณตัวเดียวแล้วจบเลย
  • ช่วยให้มองเห็นกรอบราคาของการวิ่งไปได้อย่างชัดเจน ตรงนี้เรามักจะลากทั้งเส้นแนวรับและเส้นแนวต้านควบคู่กันไปพร้อมๆ กัน

ปัญหาที่ท้าทายก็ตรงที่ว่า แนวรับ-แนวต้านจะใช้การไม่ได้ในระยะสั้นหากตัวแปรของตลาดบางรายการแทรกเข้ามาจนควบคุมไม่ได้ นักเล่นตามสัญญาณเทคนิคก็มีโอกาสขาดทุนได้

แรงช้อนท้ายตลาดวานนี้ จึงเป็นปริศนาที่ต้องหาคำตอบว่า แนวรับของตลาดหุ้นไทยที่ 1,600 จุด แกร่งเพียงพอโดยไม่ต้องพึ่งจินตนาการ ไม่ใช่แค่ความเชื่อตามนักวิเคราะห์ 

Back to top button