การเด้งของลูกเทนนิส

ในที่สุดหัวเว่ย เทคโนโลยี ยักษ์ใหญ่ไอที-โทรคมนาคมจีนก็ทำให้คนทั่วโลกหวนกลับไปย้อนระลึกถึงกฎข้อที่ 3 ของกฎการเคลื่อนที่ของนิวตันอันเป็นหลักการสำคัญที่เรียกว่าหลักกลศาสตร์แบบนิวตัน


พลวัตปี 2019 : วิษณุ โชลิตกุล

ในที่สุดหัวเว่ย เทคโนโลยี ยักษ์ใหญ่ไอที-โทรคมนาคมจีนก็ทำให้คนทั่วโลกหวนกลับไปย้อนระลึกถึงกฎข้อที่ 3 ของกฎการเคลื่อนที่ของนิวตันอันเป็นหลักการสำคัญที่เรียกว่าหลักกลศาสตร์แบบนิวตัน

กฎที่ว่าระบุว่าแรงใด ๆ ย่อมเกิดเป็นคู่เสมอเมื่อวัตถุที่หนึ่งออกแรงกระทำกับวัตถุที่สองวัตถุที่สองย่อมออกแรงกระทำกับวัตถุที่หนึ่งในขนาดเท่ากันแต่ทิศทางตรงกันข้ามเสมอส่วนใหญ่บรรยายกฎนี้ไว้ว่า “ทุกแรงกิริยา (action) ย่อมมีแรงปฏิกิริยา (reaction) ซึ่งมีขนาดเท่ากันแต่มีทิศตรงข้ามกันเสมอ”

แรงกิริยาจากการที่ทำเนียบขาวสั่งเล่นงานสารพัดกับหัวเว่ยฯได้ก่อให้เกิดแรงปฏิกิริยาเป็น โอกาสในวิกฤตทำให้หัวเว่ยฯ รวมถึงบรรดาค่ายสมาร์ทโฟนและโทรคมนาคมจากจีนสามารถรวมตัวกันพัฒนา อะไรบางอย่าง โดยเฉพาะระบบปฏิบัติการของตัวเองขึ้นมาได้โดยไม่ต้องง้อกูเกิลหรือบริษัทอเมริกันอื่น ๆ อีกต่อไป

การที่หัวเว่ยฯ ประกาศ “ไม้ตายแรก ด้วยการใช้ระบบปฏิบัติการของตัวเองที่พัฒนามาเป็น 10  ปีโดยให้ชื่อว่าระบบปฏิบัติการ Hongmeng OS มาใช้แทน Android

แม้จะยังไม่เปิดเผยชัดเจนว่าระบบปฏิบัติการของหัวเว่ยฯ มีคุณภาพแค่ไหนแต่พอจินตนาการล่วงหน้าได้ว่าหากมีคุณภาพจริง (Hongmeng ที่พัฒนามา 10 ปียอมมองเห็นข้อบกพร่องของแอนดรอยด์ทุกจุดและได้อุดช่องว่างทั้งหมด) จะทำให้บรรดาค่ายมือถือจีนที่ครองอันดับ 4,5,6…..อย่าง Xiaomi, Oppo, Vivo, Honor, Meizu, Lenovo, Qiku 360, Smartisan, Motorola, ZTE Nubia, Oneplus จะตบเท้ากันมาขอใช้ปฏิบัติการ Hongmeng ทั้งหมดและค่ายมือถือเกาหลีไต้อย่าง Samsung  ไต้หวันอย่าง Aser, Asus   ญี่ปุ่นอย่าง Sony คงไม่รีรอที่จะขอใช้ปฏิบัติการนี้ด้วย

ในทางยุทธศาสตร์แล้ว) เว้นทั้งการทลายการปิดล้อมค่ายกลเก่าแล้วสร้างค่ายกลใหม่ที่ทำให้ Android ถูกลอยแพได้ในระยะยาว

แผนซ้อนแผนรับมือกับสงครามการค้าของทำเนียบขาวนี้จะทำให้ส่งผลสะเทือนทางลบต่อผลประโยชน์ที่จะกระทบต่ออเมริกามหาศาล

แม้ชาวโลกจะยังไม่ชัดเจนว่าข้อกล่าวหาของอเมริกาฯ ที่ว่าการใช้อุปกรณ์ HUAWEI มันไปสร้างความเสี่ยงถึงขนาดเป็นภัยความมั่นคงอย่างไรโดยเฉพาะเทคโนโลยี 5G ที่คาดว่าจะเป็นโครงสร้างพื้นฐานหรือกระดูกสันหลังของโลกในอนาคตเลยเนื่องจากสามารถทำให้อุปกรณ์ทุกชิ้นสามารถเชื่อมต่อกันได้ผ่านอินเทอร์เน็ตเป็นเครือข่ายมหึมาที่หัวเว่ยเป็นหนึ่งในบริษัทชั้นนำของโลกเคียงข้าง Nokia Siemens Alcatel Ericsson และ  Samsung แต่เหนือกว่าด้วยเทคโนโลยีที่ล้ำหน้าและสามารถเสนอราคาที่ดีกว่าหลาย ๆ บริษัทจาก Economy of Scale ที่ทำให้มีจุดคุ้มทุนต่ำ

ล่าสุดนอกจากหัวเว่ยฯ จะได้จดทะเบียนการค้าของ Hongmeng OS กับ Chinese National Intellectual Property Administration ในชื่อ “Huawei Hongmeng” เป็นที่เรียบร้อยแล้วเพื่อปูทางให้ครอบคลุมการนำไปใช้กับอุปกรณ์ต่างๆ ของ Huawei ไม่ว่าจะเป็น Operating System Program, Computer Operating Program และ Computer Operating Software และยังรวมถึง Smartphone, Tablet, Laptop และอุปกรณ์อื่น ๆ ยังทำการจดทะเบียนระบบปฏิบัติการข้างเคียงกันกับทางองค์กรทรัพย์สินทางปัญญาแห่งสหภาพยุโรป European Union Intellectual Property Office (EUIPO) เมื่อวันที่ 24 พฤษภาคมที่ผ่านมาไว้ในชื่อ “Huawei Ark OS” หรือ “Huawei Ark” ซึ่งก็อาจจะเป็นไปได้ว่าHuawei อาจจะใช้ชื่อนี้แทน Hongmeng ในการทำตลาดทั่วโลก

ผู้บริหารของหัวเว่ยฯ เปรยว่าจริง ๆ แล้ว  Hongmeng OS  เสร็จสมบูรณ์พร้อมใช้งานมาตั้งแต่เดือนมกราคม 2018  แต่ที่ไม่ได้เปิดตัวในขณะนั้นเพราะทาง  Huawei มีความสัมพันธ์อันดีกับ Google มาโดยตลอดและไม่อยากทำลายมิตรภาพดังกล่าว

Hongmeng OS เริ่มต้นจากการที่หัวเว่ยฯ ซื้อสิทธิบัตรจาก ARM ของอเมริกา มาพัฒนาต่อเพื่อมุ่งสร้างสถาปัตยกรรมออกแบบชุดคำสั่งในรูปแบบ RISC เพื่อนำไปผลิต CPU ของตัวเอง

โดยให้ชื่อว่า Kirin659 ได้แล้วซื้อเพิ่มสิทธิบัตร ARM สร้าง CPU ตัวใหม่ชื่อว่า Kirin710 กับ Kirin980 ซึ่งเป็นชิปเซ็ตที่ตอนนี้ได้ครองอันดับ 1ของโลกที่แรงที่สุดล้ำหน้าเพราะเร็วขึ้น 20% และกินไฟน้อยลง 40% เมื่อเทียบกับคู่แข่งในทุกด้าน

ผลของการตีโต้ทำให้หัวเว่ยฯ เร่งเปิดตัวมือถือ Huawei Mate Series รุ่นใหม่ปลายปีนี้พร้อมกับชิปประมวลผลKirin 985 และ HongMeng OS ด้วยในตลาดประเทศจีนก่อนเท่านั้นส่วนเวอร์ชั่น Global  หรือ ARK OS นั้นจะเป็นช่วงต้นปี 2020 โน่นเลย (ก็คงมาพร้อมกับ P40)

การลุกขึ้นสู้ของหัวเว่ยฯ จากการเปิดตัว Hongmeng OS (นอกเหนือจากข้อเท็จจริงว่าหัวเว่ยฯ ​กำลังถือครองสิทธิบัตรที่สำคัญของเทคโนโลยี 5G ไว้มากถึง 10% จากทั่วโลก) ทำให้พอคาดเดาว่าอนาคตของบริษัทนี้จะถูกอเมริกาบดขยี้หรือเกิดผลกลับตาลปัตร

การเคลื่อนไหวนี้จะสร้างผลลัพธ์ที่สหรัฐฯไม่คาดคิดในเชิงลบมากน้อยแค่ไหนผู้รู้เชิงทฤษฎีก็ยังไม่กล้าฟันธงเพราะยังต้องขึ้นกับเงื่อนไขที่อาจจะทำให้กฎข้อที่ 3 ของนิวตันทำงานไม่เต็มที่เพราะในทางทฤษฎีนั้นหากว่าพื้นผิวที่เกิดแรงตกกระทบบางแห่งสามารถดูดซับไว้ได้หรือสะสมทำให้สะท้อนกลับได้น้อยลงในช่วงแรกแล้วค่อย ๆ ปลดปล่อยภายหลัง (อาจจะค่อย ๆ หรือระเปิดออกมา) ผลของแรงโต้กลับของหัวเว่ยฯ อาจจะคาดเดาผลลัพธ์ยากขึ้น

ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้นสิ่งที่แน่นอนจากนี้คืออเมริกาจะไม่ยิ่งใหญ่เท่าเดิมและจีนหรือชาติอื่นก็จะไม่ใช่เหยื่อของมาตรการฝ่ายเดียวต่อไป

Back to top button