พาราสาวะถี

เพิ่งดีใจกันไปได้แค่ 2 วันกับตัวเลขผู้ติดเชื้อรายใหม่ที่พบว่าไม่เกินหลักร้อยราย แต่วันวานการแถลงของ นายแพทย์ทวีศิลป์ วิษณุโยธิน โฆษกศูนย์บริหารสถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด-19 หรือศบค. กลับพบว่ามีผู้ป่วยรายใหม่ถึง 111 ราย ซึ่งก็เข้าใจได้เมื่อฟังคำอธิบาย ตัวเลขที่กระโดดขึ้นมานั้น ส่วนหนึ่งเกิดจากผู้ที่กลับจากการไปร่วมงานทางศาสนาที่ประเทศอินโดนีเซีย ซึ่งพบผู้ติดเชื้อมีจำนวนมากถึง 42 คน ส่งผลถึงจังหวัดที่ตัวเลขผู้ติดเชื้อเป็นศูนย์ก่อนหน้าอย่างสตูล พบผู้ติดเชื้อ 15 รายทีเดียว


อรชุน

เพิ่งดีใจกันไปได้แค่ 2 วันกับตัวเลขผู้ติดเชื้อรายใหม่ที่พบว่าไม่เกินหลักร้อยราย แต่วันวานการแถลงของ นายแพทย์ทวีศิลป์ วิษณุโยธิน โฆษกศูนย์บริหารสถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด-19 หรือศบค. กลับพบว่ามีผู้ป่วยรายใหม่ถึง 111 ราย ซึ่งก็เข้าใจได้เมื่อฟังคำอธิบาย ตัวเลขที่กระโดดขึ้นมานั้น ส่วนหนึ่งเกิดจากผู้ที่กลับจากการไปร่วมงานทางศาสนาที่ประเทศอินโดนีเซีย ซึ่งพบผู้ติดเชื้อมีจำนวนมากถึง 42 คน ส่งผลถึงจังหวัดที่ตัวเลขผู้ติดเชื้อเป็นศูนย์ก่อนหน้าอย่างสตูล พบผู้ติดเชื้อ 15 รายทีเดียว

อย่างไรก็ตาม แม้จะพบว่าตัวเลขของผู้ที่เดินทางกลับมาจากประเทศอินโดนีเซียเป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้ยอดของผู้ติดเชื้อยืนยันรายใหม่กระโดดไปอยู่ในเลขสามหลัก เมื่อตัดจำนวนดังกล่าวออกไปแล้ว ที่เหลือ 69 รายนั้น ยังเป็นตัวเลขที่เกี่ยวข้องกับการแพร่เชื้อภายในประเทศ ที่แม้จะมีที่มาที่ไปอธิบายได้จากกระบวนการสอบสวนโรค แต่ก็ถือว่ามาตรการที่ทางภาครัฐขอความร่วมมือจากประชาชนก่อนหน้าไม่ว่าจะเป็นการเว้นระยะห่างทางสังคมหรือการสวมหน้ากากอนามัยทุกครั้งเวลาออกจากบ้าน ยังเป็นเรื่องสำคัญ

การรับมือต่อการระบาดของโรคโควิด-19 นั้น ไม่สามารถที่จะไว้วางใจได้ ต่อให้ตัวเลขลดระดับลงไปจนอยู่ในภาวะคงที่เหมือนไม่กี่เดือนก่อนหน้านั้น ก็ใช่ว่าภาครัฐจะสามารถเบาใจ ผ่อนคลายมาตรการต่าง ๆ หรือประชาชนจะรามือจากการเฝ้าระวัง ป้องกันตัวเองได้ เห็นได้จากประเทศญี่ปุ่น ที่ล่าสุด ชินโสะ อาเบะ ผู้นำแดนอาทิตย์อุทัย ได้ประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินเพื่อรับมือกับการที่พบผู้ติดเชื้อกลับมามีจำนวนเพิ่มขึ้นอีกอย่างมีนัยสำคัญ

การต่อสู้กับศัตรูที่มองไม่เห็น โดยเฉพาะในทางการแพทย์เมื่อยังไร้วัคซีนในการป้องกัน ไม่มียาที่จะรักษาหรือฆ่าเชื้อร้ายชนิดนี้ได้โดยตรง ยังไม่ถือว่าเป็นชัยชนะหรือประสบความสำเร็จ เพียงแต่เบาใจได้ ที่สามารถจำกัดหรือขีดวงการแพร่ของระบาดของเชื้อได้เท่านั้น ในแวดวงบุคลากรทางการแพทย์ ได้มีการพบปะ ประชุมและหารือกันตลอดเวลา เพื่อประเมินสถานการณ์ หรืออีกนัยหนึ่งคือยื้อการระบาดไว้ให้ได้นานที่สุดจนกว่าจะมีวัคซีนหรือยารักษานั่นเอง

อย่างไรก็ตาม สิ่งที่ควบคู่มากับการเฝ้าระวังและรักษาโควิด-19 คือมาตรการของรัฐบาลในการช่วยเหลือผู้ได้รับความเดือดร้อน ประเด็นที่สังคมจับตามองและถกเถียงกันมาตลอดสองสัปดาห์นี้คือ การแจกเงินเยียวยา 5 พันบาทกับอาชีพอิสระและแรงงานที่ไม่ได้รับการคุ้มครองจากระบบประกันสังคม เดิมวางเป้าหมายไว้ที่ 3 ล้านคน แต่ผลจากการแห่แหนไปลงทะเบียนที่มียอดทะลุถึง 24 ล้านรายนั้น ทำให้ต้องมีการปรับตัวเลขผู้ได้รับสิทธิ์ไปที่ 9 ล้านคนและขยายเวลาช่วยเหลือจาก 3 เดือนเป็น 6 เดือน

กรณีนี้ก็มีการตั้งคำถามกันอยู่ไม่น้อยกับระยะเวลาที่ทอดยาวออกไปนั้นพอเข้าใจได้ แต่ในเมื่อพิจารณาแล้วเห็นว่าน่าจะมีคนเดือดร้อนจำนวนมากกว่าที่รัฐบาลตั้งเป้าหมายไว้ ทำไมจึงไม่เพิ่มจำนวนคน โดยคงระยะเวลาการช่วยเหลือไว้ตามเดิม หลังจากที่รัฐบาลได้ดำเนินมาตรการกู้เงินเพื่อเยียวยาช่วยเหลือแล้ว ค่อยมาขยับขยายกันอีกครั้ง ซึ่งการเลือกเพิ่มเวลาแล้วตัดคนทิ้งจำนวนมาก พร้อมขู่จะดำเนินคดีกับคนที่ลงทะเบียนแล้วขาดคุณสมบัตินั้น ไม่น่าจะเป็นวิธีการที่ถูกต้อง

นาทีนี้ต้องยอมรับกันว่า เดือดร้อนกันไปทุกหย่อมหญ้า แล้วหลักเกณฑ์ในการพิจารณานั้น ก็ยังไม่มีการอธิบายที่ชัดเจน จึงเกรงกันว่าจะเป็นการตัดสิทธิ์ผู้เดือดร้อนที่แท้จริงจำนวนมากและไม่ครอบคลุมผู้เดือดร้อนได้ทั้งหมด เหมือนคราวแจกบัตรคนจน ที่พบว่าผู้เดือดร้อนตัวจริงตกสำรวจไปจำนวนไม่น้อย ขณะที่คนมีอันจะกิน ผู้มีฐานะระดับปานกลางหรือไม่ได้เดือดร้อนจริง กลับได้รับบัตรคนจนกันถ้วนหน้า ทั้งที่กรณีนี้มีเวลาพิจารณากันนานกว่าผู้ได้รับผลกระทบจากโควิด-19 เสียอีก

แต่ในเมื่อรัฐบาลได้ตัดสินใจกันเช่นนี้แล้ว ก็มีสิ่งที่เป็นข้อเสนออันน่าสนใจตามมาจาก กรณ์ จาติกวณิช ว่าที่หัวหน้าพรรคกล้า ที่มองข้ามช็อตต่อไปว่า นอกจากการเริ่มโอนเงินช่วยเหลือให้ประชาชน 5 พันบาทแล้ว การที่รัฐบาลประกาศแผนออกพ.ร.ก.ให้อำนาจกระทรวงการคลังกู้เงิน 1 ล้านล้านบาท เพื่อเพิ่มวงเงินเยียวยาประชาชน 600,000 ล้านบาท มีความหมายอีกนัยหนึ่งคือรัฐบาลกำลังจะอัดฉีดเม็ดเงินมหาศาลให้ประชาชนได้จับจ่ายใช้สอย

ตรงนี้แหละเป็นบทพิสูจน์ความละเอียด รอบคอบของรัฐบาล เพราะการกระตุ้นให้ประชาชนจับจ่ายใช้สอยนั้น ประชาชนจะต้องซื้อของในห้างร้านที่ยังมีสิทธิเปิดได้อยู่หรือยังอยู่รอดขายได้ นั่นหมายถึงผู้ประกอบการค้าปลีก ค้าส่ง และร้านสะดวกซื้อทั้งหลาย ถ้าในมุมมองของคนบางคนก็อาจจะบอกได้ว่า คนเหล่านั้นก็คือพวกเดียวกันหรือคนสนิทชิดเชื้อกับรัฐบาลนั่นเอง ด้วยเหตุนี้กรณ์จึงเสนอให้รัฐบาลเชิญคนเหล่านั้นมาหารือเพื่อช่วยกันทำให้เงิน 5 พันบาทที่ประชาชนได้รับไปมีค่า เกิดประโยชน์มากที่สุด

โดยการที่รัฐบาลขอความร่วมกันผู้ประกอบการเหล่านั้นลดราคาสินค้า โดยเฉพาะอย่างยิ่งหมวดหมู่ที่จำเป็นต่อการดำรงชีวิต ในสถานการณ์ที่ทุกธุรกิจต่างเดือดร้อนกันทั่วหน้า สิ่งที่จะทำให้ประเทศไทยก้าวผ่านวิกฤตไปด้วยกันได้คือน้ำใจ ความช่วยเหลือเกื้อกูลซึ่งกันและกัน แต่สิ่งที่กรณ์เชื่อมั่น ไม่รู้ว่าจะเป็นจริงหรือไม่ นั่นก็คือ เชื่อว่าผู้ประกอบการจำนวนมาก พร้อมที่จะหยิบยื่นน้ำใจดังกล่าวให้กับผู้ที่กำลังลำบาก เพราะยังมีคนจำนวนไม่น้อยที่เชื่อว่า มีพวกที่ยังแสวงหาประโยชน์บนความเดือดร้อนของคนอยู่

หากเป็นไปอย่างที่กรณ์เสนอ ก็ควรต้องมีการประกาศลดราคาสินค้าจำเป็นเหล่านั้นลงทันที จะเท่าไหร่ก็แล้วแต่ อย่างที่กรณ์ว่าเรื่องอย่างนี้คงจะสามารถคุยกันได้ แล้วจะเกิดความเป็นธรรมและเป็นประโยชน์ต่อประชาชนคนที่เดือดร้อนแน่นอน แต่หากไม่มีมาตรการในการปรับราคาสินค้าต่าง ๆ ลง ในขณะที่รายได้ของคนส่วนใหญ่ต้องหยุดนิ่ง ความสามารถในการอยู่รอดไปจนถึงวันที่การระบาดสิ้นสุดคงจะเป็นไปได้ยากลำบากมากสำหรับคนหลายล้านคน

เหล่านี้จะถือเป็นบทพิสูจน์ฝีมือในการบริหารของผู้นำเผด็จการสืบทอดอำนาจและคณะในภาวะวิกฤต ไม่ใช่แค่การเดินหน้าหยุดการระบาดของโรค ไม่ใช่การระดมสารพัดวิธีการเพื่อให้มีงบประมาณดูแลประชาชนในยามวิกฤต แต่ต้องดูให้ครอบคลุมไปถึงการตอบโจทย์ความเดือดร้อนของประชาชนที่แท้จริงด้วย เหมือนอย่างหลายมาตรการที่ผ่านมา ที่พบว่าตามทฤษฎีเป็นสิ่งที่ดีแต่รัฐบาลนี้ทำได้ไม่สุดทาง ไม่รอบด้าน แทนที่จะเป็นประโยชน์มันจึงกลายเป็นเพียงนโยบายหว่านเงินแค่หวังผลทางการเมืองเท่านั้น

Back to top button