พาราสาวะถี

ไม่ว่าศบค.ชุดใหญ่จะมีมาตรการผ่อนคลายในแต่ละพื้นที่อย่างไรไม่ใช่เรื่องที่น่าตื่นเต้นและยินดี เพราะการที่จะควบคุมการระบาดของโควิด-19 ได้ดี มันอยู่ที่การเข้มงวดในการบังคับใช้กฎหมายของฝ่ายเจ้าหน้าที่จากการแบ่งโซนความเข้มข้นของการระบาด รวมทั้งสำนึกของผู้ประกอบการที่เรียกร้องและคนที่เห็นแก่ตัวด้วย เห็นได้จากกรณีของดีเจคนดังเรื่องการจัดสังสรรค์รวมกลุ่มจนเป็นคำถามว่านี่ใช้ตัวการก่อให้เกิดซูเปอร์สเปรดเดอร์หรือไม่


อรชุน

ไม่ว่าศบค.ชุดใหญ่จะมีมาตรการผ่อนคลายในแต่ละพื้นที่อย่างไรไม่ใช่เรื่องที่น่าตื่นเต้นและยินดี เพราะการที่จะควบคุมการระบาดของโควิด-19 ได้ดี มันอยู่ที่การเข้มงวดในการบังคับใช้กฎหมายของฝ่ายเจ้าหน้าที่จากการแบ่งโซนความเข้มข้นของการระบาด รวมทั้งสำนึกของผู้ประกอบการที่เรียกร้องและคนที่เห็นแก่ตัวด้วย เห็นได้จากกรณีของดีเจคนดังเรื่องการจัดสังสรรค์รวมกลุ่มจนเป็นคำถามว่านี่ใช้ตัวการก่อให้เกิดซูเปอร์สเปรดเดอร์หรือไม่

คำตอบที่ได้คือ เป็นเรื่องจิตสำนึกล้วน ๆ ควรหรือไม่ที่จะจัดปาร์ตี้สังสรรค์กันกลุ่มใหญ่ในสถานการณ์ของประเทศที่เป็นอยู่เวลานี้ ขณะที่ตัวเองก็เป็นบุคคลสาธารณะไม่ได้กักตัวเอง ยังคงเทียวไปเทียวมาตามที่ต่าง ๆ โดยไม่ได้ระวังเนื้อระวังตัวแต่อย่างใด แต่พูดไปก็จะกลายเป็นการซ้ำเติมคนที่กำลังป่วย คงต้องปล่อยให้แวดวงอภิสิทธิ์ชนทั้งหลายไปถกเถียงกันเอง ถ้ากินดื่มในแวดวงแล้วจำกัดพรรคพวกตัวเองอยู่แต่ในสถานที่ที่เป็นเซฟเฮาส์คงไม่มีใครว่า

สิ่งที่เป็นข้อเรียกร้องจากผู้ประกอบการร้านอาหาร ภัตตาคารทั้งหลายแหล่ เรื่องการให้นั่งทานในร้านได้ถึง 5 ทุ่ม จน อนุทิน ชาญวีรกูล บอกว่ามีแนวคิดที่จะขยายให้ถึงเที่ยงคืนเสียด้วยซ้ำไป แต่กรณีดีเจคนดังกับมาตรการที่ภาครัฐห้ามคือกินในร้านได้ถึง 3 ทุ่มและห้ามมีเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ยังปล่อยปละละเลยกันจนทำท่าว่าจะเป็นแหล่งแพร่เชื้อในวงกว้าง เช่นนี้แล้ว คงต้องพิจารณากันอย่างหนักว่าสมควรจะผ่อนปรนหรือไม่ แต่ก็ไม่อยากให้ปลาตายตัวเดียวทำให้คนที่เขาทำดีต้องมาเดือดร้อน

หลังจากที่รัฐบาลได้ออกพ.ร.ก.กู้เงิน 1 ล้านล้านบาท มีการย้ำกันมาเป็นระยะว่า ขอให้เร่งดำเนินการทั้งเยียวยาประชาชน ภาคธุรกิจและฟื้นฟูเศรษฐกิจให้ฟื้นตัวได้โดยเร็ว แต่เวลาล่วงเลยมาจนถึงการระบาดระลอกสอง ก็ยังพบว่าสิ่งที่รัฐบาลสืบทอดอำนาจได้ทำไปนั้น ยืดยาดไม่สมกับการออกเป็นพระราชกำหนดด้วยข้ออ้างว่ามีความจำเป็นเร่งด่วน หากไม่หลับหูหลับตาเชียร์ก็ลองย้อนกลับไปฟังความเห็นของส.ส.ฝ่ายค้านที่เคยแสดงไว้ตอนที่อภิปรายกฎหมายฉบับนี้กันว่าเป็นไปตามนั้นหรือไม่

อย่างไรก็ตาม ในวันนี้จะมีการรายงานผลการดำเนินการตามมาตรา 10 แห่งพระราชกำหนดให้อำนาจกระทรวงการคลังกู้เงินเพื่อแก้ปัญหา เยียวยา และฟื้นฟูเศรษฐกิจและสังคม ที่ได้รับผลกระทบจากการระบาดของโรคติดเชื้อโคโรนาไวรัส 2019 พ.ศ. 2563 ประจำปีงบประมาณ 2563 จัดทำโดยสำนักบริหารหนี้ กระทรวงการคลัง ต่อที่ประชุมสภาผู้แทนราษฎร ซึ่งมีเอกสารเผยแพร่ออกมาก่อนหน้าแล้ว โดยที่ จาตุรนต์ ฉายแสง ได้ขมวดปมตั้งข้อสังเกตไว้อย่างน่าสนใจ

โดยภาพรวมแล้วในปีงบประมาณ 2563 วงเงินกู้รวม 1 ล้านล้านบาท เบิกจ่ายไปเพียง 29.8% จากวงเงินรวม เกือบทั้งหมดอยู่ในแผนเยียวยา ส่วนแผนด้านสาธารณสุขยังไม่มีการเบิกจ่าย และแผนฟื้นฟูมีการเบิกจ่ายไปเพียง 1,923.32 ล้านบาทเท่านั้น ผ่านไปอีก 3 เดือน สถานการณ์การเบิกจ่ายยังไม่กระเตื้องขึ้น ล่าสุดถึงวันที่ 19 มกราคม 2564 ข้อมูลจากสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติหรือสศช. มีการเบิกจ่ายเงินเพิ่มขึ้นบ้าง แต่ในแผนสำคัญก็ยังเป็นตัวเลขที่น่าตกใจอยู่ดี

จากวงเงินกู้ 1 ล้านล้าน มีวงเงินอนุมัติแล้ว 711,606.6362 ล้านบาท เบิกจ่ายแล้ว 371,032.7785 ล้านบาท รายจ่ายส่วนใหญ่อยู่ในแผนงานเยียวยา เบิกจ่ายเป็นเงิน 322,913.6143 ล้านบาท คิดเป็น 57.79 % แผนงานด้านสาธารณสุขยังคงจ่ายไปเพียง 7.92 % เป็นโครงการเกี่ยวกับบุคลากร ส่วนโครงการเกี่ยวกับวัคซีนหรือสถานพยาบาลมีการเบิกจ่ายเพียง 0-2 ล้านบาทเท่านั้น แผนการด้านฟื้นฟูเศรษฐกิจมีการใช้จ่ายไป 46,558.2382 ล้านบาท เกือบทั้งหมดเป็นการแจกจ่ายแก่ครัวเรือน

ส่วนแผนงานพลิกฟื้นเศรษฐกิจและแผนงานฟื้นฟูเศรษฐกิจท้องถิ่นและชุมชนจ่ายไป 0-3 ล้านบาทเท่านั้น เท่ากับว่าขออำนาจกู้ไป 1 ล้านล้าน เพิ่งเบิกจ่ายไป 37 % ซึ่งส่วนใหญ่ใช้เพียงแจกจ่ายเยียวยา แต่ที่เป็นโครงการทั้งด้านสาธารณสุขและฟื้นฟูเศรษฐกิจใช้น้อยมาก เกือบเรียกได้ว่าไม่ได้ทำอะไรเลย เห็นข้อมูลอย่างนี้ ก็คงหมดข้อสงสัยแล้วว่าเหตุใดเศรษฐกิจไทยจึงถดถอยมากที่สุดในอาเซียนและฟื้นตัวช้าที่สุดในอาเซียน

อย่างไรก็ตาม จาตุรนต์ยังช่วยแก้ต่างให้ว่า ปัจจัยที่ทำให้เศรษฐกิจของประเทศแย่ ไม่ใช่แค่โควิด-19 และการไม่ยอมใช้จ่ายงบประมาณที่จำเป็นของภาครัฐ ยังมีสาเหตุอื่น ๆ อีกที่ทำให้เศรษฐกิจไทยถดถอยมากและฟื้นตัวช้ากว่าใครเขา แต่ถ้าเป็นเช่นนั้นคงจะต้องคุยเรื่องเศรษฐกิจกันมากขึ้น บ่อยขึ้น คำถามสำคัญคือ คุยโดยใครและคุยกันด้วยความเข้าใจ แสวงหาความร่วมมือจากทุกภาคส่วน หรือเดินหน้าแจกสะบัดเพื่อการซื้อคะแนนนิยมสำหรับการเลือกตั้งไว้ล่วงหน้า

ทั้งนี้ การหยิบยกประเด็นนี้ของจาตุรนต์มาตั้งข้อสังเกต อย่างน้อยก็เพื่อที่จะได้เห็นการซักถามหรืออภิปรายของส.ส.ฝ่ายค้านในการรายงานการใช้เงินส่วนนี้ต่อที่ประชุมสภาฯ ว่า มีคำถามที่แหลมคมจนทำให้ฝ่ายกุมอำนาจชี้แจงไม่ได้หรือไม่เคลียร์หรือไม่ เพราะหากจี้จุดนี้ได้ จะเป็นการเปิดแผลเป็นน้ำจิ้ม ก่อนที่จะเข้าสู่โหมดการอภิปรายไม่ไว้วางใจ เพราะในการยื่นซักฟอกที่ฝ่ายค้านตั้งประเด็นความผิดพลาดบกพร่องในการบริหารประเทศนั้นมันต้องฉายภาพให้ประชาชนเห็นและเชื่อได้ว่า ผู้นำเผด็จการสืบทอดอำนาจและคณะไร้ฝีมืออย่างไร

น่าสนใจตามมาจากการเตรียมการสำหรับศึกซักฟอก ความเคลื่อนไหวของส.ส.พรรคสืบทอดอำนาจเด่นชัดว่าเริ่มมีการเคาะกะลากันแล้ว ด้วยการให้ตัวแทนลุกขึ้นถามในที่ประชุมพรรคจะโหวตสวนมติพรรคร่วมรัฐบาลได้หรือไม่ กรณีรัฐมนตรีบางรายที่ถูกอภิปรายไม่ได้ให้ความสำคัญกับส.ส. ไม่ต้องบอกก็รู้ว่าส่งสัญญาณแบบนี้หมายถึงอะไร ส่วนฝ่ายค้านปัญหาข้อสอบรั่ว ยังเป็นสิ่งที่คนภายนอกเป็นห่วง เพราะขนาดส.ส.พวกเดียวกันเองยังเคาะกะลากันหนักขนาดนี้ นั่นย่อมหมายถึงว่าซีกฝ่ายตรงข้ามเรื่องของกล้วยที่ใช้แลกเปลี่ยนย่อมมากกว่าการดูแลคนกันเอง

Back to top button