AMANAH คาด Q2/64 โตเด่น!

มีการวิเคราะห์กันว่า AMANAH จะมีโอกาสทำกำไรสุทธิในไตรมาส 2/64 อยู่ที่ 82 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 26% จากงวดเดียวกันของปีก่อน


คุณค่าบริษัท

มีการวิเคราะห์กันว่า บริษัท อะมานะฮ์ ลิสซิ่ง จำกัด (มหาชน) หรือ AMANAH จะมีโอกาสทำกำไรสุทธิในไตรมาส 2/2564 อยู่ที่ 82 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 26% จากงวดเดียวกันของปีก่อน และเพิ่มขึ้น 4% จากไตรมาสก่อน

โดยยังมีปัจจัยหนุนอย่างรายได้ดอกเบี้ยสุทธิขยายเพิ่มขึ้น 8% จากงวดเดียวกันของปีก่อน และเพิ่มขึ้น 1% จากไตรมาสก่อน แรงสนับสนุนจากผลตอบแทนเงินกู้ที่เพิ่มขึ้นเป็น 17.9% จากไตรมาส 2/2563 อยู่ที่ 17.6% และไตรมาส 1/2564 อยู่ที่ 17.7% ตามสัดส่วนลูกหนี้ที่ให้ความช่วยเหลือลดลงจากไตรมาส 2/2563 ที่อยู่สูงถึง 83% ของสินเชื่อรวม และต้นทุนทางการเงินที่ลดลงเป็น 3.6% จากไตรมาส 2/2563 อยู่ที่ 4.1% จากการใช้วงเงินกู้ soft loan จาก GSB

ขณะเดียวกัน สินเชื่อเริ่มกลับมาขยายตัวที่เพิ่มขึ้น 4% จากงวดเดียวกันของปีก่อน หรือเพิ่มขึ้น 1% จากต้นปีถึงปัจจุบัน จากไตรมาส 1/2564 ที่ขยายตัวต่ำเพียงเพิ่มขึ้น 0.1% จากต้นปีถึงปัจจุบัน โดยคาดว่าบริษัทจะไม่ได้รับผลกระทบจาก COVID-19 รอบ 3-4 อย่างมีนัย เนื่องจากบริษัทไม่ได้เน้นการปล่อยสินเชื่อในพื้นที่กทม.และปริมณฑลที่ได้รับผลกระทบสูง

ส่วน NPL ปรับตัวลงเล็กน้อยอยู่ที่ 4.0% จากไตรมาส 1/2564 อยู่ที่ 4.1% รวมทั้งระดับสำรองฯ ส่วนเกินที่ยังสูง และค่าเครดิตยังทรงตัวที่ 195%

นอกจากนี้ บล.เคทีบีเอสที คงประมาณการกำไรสุทธิปี 2564 ที่ 352 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 21% จากงวดเดียวกันของปีก่อน จาก 1) ยอดปล่อยสินเชื่อใหม่ที่จะทำสถิติใหม่ที่ 1.6 พันล้านบาท หนุนโดยการปล่อยสินเชื่อที่ aggressive ตามการขยาย LTV และจำนวน AMANAH Express ที่เพิ่มขึ้น 2) ผลตอบแทนเงินกู้จะเพิ่มเป็น 18.3% จากการสิ้นสุดมาตรการช่วยเหลือลูกหนี้ และ 3) ค่าเครดิตจะอยู่ในระดับที่ต่ำที่ 325% จากระดับสำรองฯ ส่วนเกินที่สูงในปี 2563 ทำให้บริษัทมีความจำเป็นในการตั้งสำรองฯ เพิ่มน้อยลง ถึงแม้ว่า 4) NPL จะเพิ่มขึ้นเป็น 4.5%

ทั้งนี้ ประเมินว่า AMANAH ควรที่จะเทรด premium มากขึ้นจากอดีต จากแนวโน้มสินเชื่อที่จะเพิ่มขึ้นในระยะยาวตามแหล่งเงินทุนที่จะสูงขึ้น โดยคาดว่าบริษัทจะมีการระดมทุนผ่านหุ้นกู้อิสลามเป็นครั้งแรกในช่วง 1-2 ปี จากปัจจุบันที่อยู่ระหว่างการขอ และจัดทำ credit rating และหนุนให้ผลการดำเนินงานในระยะยาวจะขยายตัวเพิ่มขึ้นที่ 2563-2565 EPS CAGR +19 แนะนำ “ซื้อ” ให้ราคาเป้าหมาย 6.60 บาท อิงปี 2564 P/BV ที่ 3.9 เท่า

ผู้ถือหุ้นรายใหญ่

  1. ธนาคาร อิสลามแห่งประเทศไทย 500,080,000 หุ้น 48.46%
  2. นายภานุรังษี ศรีวรัฏฐา 62,999,900 หุ้น 6.10%
  3. บริษัท ไทยเอ็นวีดีอาร์ จำกัด 32,944,566 หุ้น 3.19%
  4. นายสุรศักดิ์ ไกรวิทย์ชัยเจริญ 17,300,000 หุ้น 1.68%
  5. นายภมร พลเทพ 16,300,000 หุ้น 1.58%

รายชื่อกรรมการ

  1. พลตรีณัฏฐิพงษ์ เผือกสกนธ์ ประธานกรรมการ, กรรมการอิสระ
  2. นายไพบูลย์ ศิริภาณุเสถียร ประธานกรรมการบริหาร, กรรมการ
  3. นายนันทพล พงษ์ไพบูลย์ กรรมการผู้จัดการ, กรรมการ
  4. นายมนต์ชัย รัตนเสถียร กรรมการ
  5. น.ส.ศันสนีย์ เมธิสริยพงศ์ กรรมการ

Back to top button