พาราสาวะถี

สิ่งที่เป็นกังวลกันมากที่สุดคือ หวั่นโควิดระลอกใหม่ โดยเฉพาะคลัสเตอร์จากผับ บาร์ ที่มีการเปิดให้นั่งดื่มกินใน 4 จังหวัดพื้นที่สีฟ้า


ประเดิมวันนี้กับการเปิดประเทศรับนักท่องเที่ยวต่างชาติโดยไม่ต้องกักตัว มีการเพิ่มประเทศที่จะเดินทางเข้ามาโดยไม่กักตัวจาก 45 ประเทศ 1 เขตปกครองพิเศษ เป็น 63 ประเทศ แน่นอนว่าคนไทยส่วนใหญ่ยังไม่มีความมั่นใจว่าสิ่งที่กำลังดำเนินการกันนั้นมีความปลอดภัยหรือไม่ ตรงนี้ยืนยันโดยอนามัยโพล ของกรมอนามัย ภายใต้การกำกับดูแลของกระทรวงสาธารณสุขเอง สิ่งที่เป็นกังวลกันมากที่สุดคือ หวั่นโควิดระลอกใหม่ โดยเฉพาะคลัสเตอร์จากผับ บาร์ ที่มีการเปิดให้นั่งดื่มกินใน 4 จังหวัดพื้นที่สีฟ้า

อย่างไรก็ตาม การประชุมศบค.ชุดใหญ่เมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมา มีการเคาะมาตรการต่าง ๆ ในการรองรับการเปิดประเทศบนความคาดหวังจะทำให้เศรษฐกิจสังคม ก้าวหน้า พร้อมกับการอยู่กับโควิด-19 ให้ได้ แต่ก็มีการพยากรณ์ไว้ล่วงหน้าหลังเปิดประเทศผ่านไปหนึ่งสัปดาห์ จะมีทางแยก 3 ทาง ทางแยกแรกที่อยากให้เป็นคือเส้นสีเขียว ทุกคนการ์ดไม่ตก ทำหน้าที่เต็มที่ ควบคุมเต็มที่ การระบาดลดลงประมาณร้อยละ 25 เมื่อเทียบกับก่อนล็อกดาวน์

ทั้งนี้ การจะเดินทางไปถึงตรงจุดนั้นได้ ทุกภาคส่วนต้องร่วมมือกันในการปฏิบัติ 4 มาตรการหลักต่อเนื่อง คือ มาตรการส่วนบุคคล COVID Free setting มาตรการคัดกรอง และการฉีดวัคซีนกลุ่มเสี่ยงให้ได้ตามเป้าหมายภายในเดือนตุลาคมถึงธันวาคมนี้เพื่อพัฒนาเศรษฐกิจได้ ส่วนทางแยกที่สองคือ เส้นสีส้ม ตรงนี้บนสมมติฐานการ์ดตกเล็กน้อย การระบาดลดลงประมาณร้อยละ 15 เทียบกับก่อนล็อกดาวน์ ผลจากการคงมาตรการปิดสถานที่เสี่ยง งดดื่มสุราในร้านอาหาร จำกัดการรวมกลุ่ม

กรณีนี้จะทำให้มีประสิทธิภาพการป้องกันการระบาดลดลงบ้าง แต่การฉีดวัคซีนกลุ่มเสี่ยงยังคงเป็นไปตามเป้าภายในเดือนตุลาคมถึงธันวาคม ขณะที่ทางแยกสุดท้ายหากไม่คำนึงถึงเรื่องอื่น ๆ จะขึ้นเป็นเส้นสีเทา คือ ป่วยหลักหมื่นหรือหลายหมื่น สิ่งที่ศบค.ย้ำในการแถลงข่าวคือจะเข้าสู่ทางแยกไหน แค่เปิดประเทศ 1 สัปดาห์สามารถทำให้เรารู้กำหนดชีวิตได้ หากผ่านกันไปได้ ก็จะนำเม็ดเงิน และความเป็นอยู่ที่เป็นสุข สู่ชีวิตวิถีใหม่ที่ต้องการได้

ประเด็นที่โฆษกศบค.ร้องขอความร่วมมือจากประชาชนเรื่องการ์ดอย่าตกหลังเปิดประเทศนั้น ความจริงแทบเป็นสิ่งที่ไม่ต้องบอกกล่าวกัน เพราะความสำเร็จจากการป้องกันการระบาดระลอกแรกนั้นมาจากการร่วมแรงร่วมใจของประชาชนล้วน ๆ จนกระทั่งมาถึงการระบาดระลอกสองและล่าสุด ถ้าไม่ปฏิเสธความรับผิดชอบกัน ต้องยอมรับความจริงว่ามาจากเจ้าหน้าที่ผู้เห็นแก่ตัว และผู้ประกอบการที่มักง่าย ไร้ความรับผิดชอบ

การเปิดประเทศครั้งนี้ก็เช่นกัน ข่าวคราวแรงงานต่างด้าวลักลอบที่ด่านชายแดนจับกุมได้ต่อเนื่องในช่วงนี้เป็นสัญญาณเตือนอย่างหนึ่ง หากเจ้าหน้าที่การ์ดตกหรือเห็นแก่ได้ ผู้ประกอบการยังไร้ความรับผิดชอบ สถานการณ์มันก็จะวกกลับไป ณ จุดเดิม ที่ห่วงเรื่องเชื้อนำเข้าจากนักท่องเที่ยวที่เปิดรับเข้ามานั้นอาจน่ากังวลแค่เรื่องการไม่ผ่านการกักตัว แต่ทั้งหมดก็ยังอยู่ภายใต้มาตรการกำกับดูแลและติดตามใกล้ชิด ผิดกับพวกลักลอบที่ติดตามไม่ได้และยังจะเป็นต้นตอการแพร่กระจายเชื้ออีกต่างหาก

ขบวนการแรงงานเถื่อนที่ผู้นำเผด็จการสืบทอดอำนาจตั้งคณะทำงานขึ้นมาตรวจสอบตั้งแต่คราวระบาดตลาดกลางกุ้ง สมุทรสาคร จนป่านนี้ก็ยังเงียบฉี่ไร้วี่แววว่ามีใครอยู่ในขบวนการ และใครต้องรับผิดชอบ ประเด็นนี้มีตัวอย่างให้เห็นแล้วจากภูเก็ตแซนด์บ็อกซ์ ที่นักท่องเที่ยวในโครงการติดเชื้อวันละไม่เกิน 10 คน แต่กลับพบการระบาดในชุมชนที่พักของพวกลักลอบใช้แรงงานผิดกฎหมาย การเปิดประเทศครั้งใหญ่ภาพก็ไม่น่าจะต่างกัน ถ้าเกิดกรณีแบบนี้ท่านผู้นำคงจะปฏิเสธความรับผิดชอบได้ยาก

ขณะเดียวกัน กระทรวงสาธารณสุขในฐานะผู้รับผิดชอบโดยตรง ทั้งผู้นำเสนอแนวทางและฝ่ายกำหนดมาตรการ วางข้อกำหนดต่าง ๆ ก็ต้องเข้มข้นต่อการทักท้วงและไม่เห็นด้วยหากพบเห็นความไม่ปกติระหว่างที่มีการเปิดประเทศ เรื่องนี้ นายแพทย์เกียรติภูมิ วงศ์รจิต ปลัดกระทรวงสาธารณสุขก็ยอมรับเองว่า จากข้อมูลในต่างประเทศพบว่าหลายประเทศที่เปิดประเทศแล้ว พบปัญหาการติดเชื้อเพิ่มขึ้น ทั้งจากคนในประเทศหรือผู้เดินทางจากต่างประเทศ เพราะมีการเดินทางและใช้แรงงานเพิ่มมากขึ้น

แม้จะไม่พูดว่าแรงงานที่ต้องการใช้เพิ่มเหล่านั้นคือแรงงานผิดกฎหมายแต่ก็เป็นอันรู้กัน จากบทเรียนที่ผ่านมาเชื่อว่ากระทรวงสาธารณสุขน่าจะไม่ยอมปล่อยให้ประวัติศาสตร์ซ้ำรอยเป็นอันขาด การเปิดประเทศไม่ใช่แค่บททดสอบที่จะนำพาประเทศไปสู่ความหวังในการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจและท่องเที่ยว หากสามารถควบคุมกำกับมาตรการอย่างดีเพื่อลดความเสี่ยงการระบาดของโรค และคงบรรยากาศการท่องเที่ยวได้ไปจนถึงปลายปีที่มีวันหยุดและใกล้เทศกาลปีใหม่ ก็จะทำให้รัฐบาลสบายใจได้มากโข อดใจรอ 1 สัปดาห์น่าจะได้เห็นหน้าเห็นหลังกัน

การเมืองที่เป็นเรื่องหนักอกของผู้นำเผด็จการสืบทอดอำนาจ จะกลับมาเข้มข้นอีกครั้ง เนื่องจากมีการเปิดสมัยประชุมสภากันในเดือนนี้ บทสรุปจากที่ประชุมพรรคสืบทอดอำนาจกับบทสัมภาษณ์ของท่านผู้นำต่อความขัดแย้งกับ ธรรมนัส พรหมเผ่า ที่ว่าขอให้ทำงานด้วยกันให้ได้ ให้สงบ ไม่ให้สื่อแปลกันไปกันมา เข้าใจหรือไม่ ไม่เช่นนั้นก็ขัดแย้งกันไปเรื่อย ๆ อะไรที่แก้ได้ตามกรรมการบริหารพรรคก็ว่ากันไป เป็นเรื่องของหัวหน้าพรรคนายกฯ ไปสั่งใครเขาไม่ได้หรอกนั้น จะเป็นไปตามนั้นหรือไม่

แต่เชื่อได้ว่าน่าจะสงบเป็นการชั่วคราวอย่างน้อยก็ให้ผ่านพ้นสมัยประชุมนี้ไปก่อน เพื่อที่จะไม่ให้รัฐบาลต้องเกิดอุบัติเหตุทางการเมือง โดยที่อีกด้านผู้นำเผด็จการสืบทอดอำนาจก็วางเดิมพันจากการเปิดประเทศไว้ หากทุกอย่างฟื้นคืนมาได้อย่างที่หวัง ก็จะเป็นโอกาสในการเปลี่ยนเกมทางการเมืองไปในตัว เพราะผลจากที่ประชุมคณะกรรมการบริหารพรรคสืบทอดอำนาจที่ออกมาสะท้อนให้เห็นว่าการไม่แตกหักกับธรรมนัสเพื่อแลกกับความสะใจของท่านผู้นำนั้นหมายถึงอะไร

Back to top button