ต้องจับตา ‘COP 26’

มีเหตุผลหลายประการที่นักลงทุน และบริษัทต้องจับตา อย่างใกล้ชิดต่อการประชุม “COP 26" ว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ


มีเหตุผลหลายประการที่นักลงทุน และบริษัทต้องจับตา อย่างใกล้ชิดต่อการประชุม “COP 26″ หรือการประชุมรัฐภาคีกรอบอนุสัญญาสหประชาชาติว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ (United Nations Framework Convention on Climate Change Conference of the Parties : UNFCCC COP) สมัยที่ 26 ซึ่งจะมีการประชุมระหว่างวันที่ 31 ตุลาคม ถึง 12 พฤศจิกายน 2564

เป้าหมายสำคัญของการประชุมนี้คือ ต้องจำกัดอุณหภูมิของโลกให้อยู่เหนือระดับก่อนยุคอุตสาหกรรมไว้ที่ 1.5 องศาเซลเซียส และนักวิทยาศาสตร์ด้านสภาวะอากาศได้ย้ำหลายครั้งว่า อาวุธที่ดีที่สุดในการแก้ปัญหาโลกร้อนคือการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกอย่างรวดเร็ว โดยโลกจำเป็นต้องลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกเกือบครึ่งหนึ่งในช่วง 8 ปีข้างหน้าและปล่อยมลพิษให้เหลือศูนย์ภายในปี พ.ศ. 2593

เหตุผลใหญ่สุดที่ทำให้นักลงทุนต้องจับตาการประชุมนี้ ก็เพราะมีคำเตือนจากผู้เชี่ยวชาญว่า “วิกฤติสภาวะอากาศ” อาจทำให้เกิด “วิกฤติการเงิน” ได้เช่นกัน ถึงแม้ว่าวิกฤติสภาวะอากาศจะเกิดขึ้นอย่างช้า ๆ ไม่เกิดขึ้นแบบปุบปับ แต่มันมีแนวโน้มที่จะสร้างความเสียหายอย่างรุนแรง

เมื่อต้นเดือนนี้ สภากำกับดูแลเสถียรภาพทางการเงินของสหรัฐฯ ได้ออกมา ชี้เป็นครั้งแรกว่า การเปลี่ยนแปลงของสภาวะภูมิอากาศ  “เป็นภัยคุกคามที่กำลังเกิดขึ้นและเพิ่มพูนมากขึ้นต่อเสถียรภาพทางการเงินของสหรัฐฯ”

สภาวะอากาศที่มีความรุนแรงและเกี่ยวโยงกับอุณหภูมิที่สูงขึ้น ได้แสดงให้เห็นอย่างชัดแจ้งแล้วว่า ได้สร้างความเสียหายทางเศรษฐกิจมาก และที่สำคัญกว่านั้นคือ มันมีแนวโน้มที่จะรุนแรงมากขึ้นในช่วงไม่กี่ปีข้างหน้า

ผลกระทบที่จะมีต่อบริษัทคือ สินทรัพย์ของบริษัท อาจถูกทำลายหรือถูกทิ้งไว้ในพอร์ตการลงทุนจนมีมูลค่าลดน้อยลงหรือไร้มูลค่าเมื่อนโยบายของรัฐบาลและทัศนคติของนักลงทุนและผู้บริโภคเปลี่ยนไป

ตัวอย่างที่เห็นได้ชัดคือการถกเถียงที่เกิดขึ้นในอุตสาหกรรมน้ำมัน

ขณะนี้มีความต้องการน้ำมันเกือบ 100 ล้านบาร์เรลต่อวัน และเพื่อจำกัดภาวะโลกร้อนไว้ที่ 1.5 องศาเซลเซียส และหลีกเลี่ยงผลกระทบที่เลวร้ายที่สุดของวิกฤติสภาวะอากาศ สหประชาชาติและนักวิทยาศาสตร์ได้เตือนว่า ทั่วโลกจำเป็นต้องลดการผลิตน้ำมัน หรือ เชื้อเพลิงฟอสซิล “อย่างรุนแรงโดยทันที”

หากการผลิตน้ำมันลดลงและความต้องการลดลง เงินทุนจะไหลไปลงทุนในแหล่งพลังงานหมุนเวียน ซึ่งจะมีผลกระทบต่อ มูลค่าของเครือข่ายขนาดใหญ่ของบริษัทน้ำมันและโครงสร้างพื้นฐานที่ได้ทุ่มเทให้กับการผลิตน้ำมันจากใต้ดิน

ผลจากความไม่แน่นอนเกี่ยวกับอนาคตนี้ การลงทุนในอุตสาหกรรมน้ำมัน เริ่มที่จะได้รับการสนับสนุนเป็นโครงการระยะสั้น และไม่มีวางเดิมพันการลงทุนในระยะเวลา 10-20 ปี เหมือนเมื่อก่อน

เหตุผลข้อต่อมาคือ มีความกังวลมากขึ้นว่านักลงทุนอาจจะไม่รับรู้ว่า งบดุลของบริษัทมีความอ่อนไหวต่อวิกฤติสภาวะอากาศมากเพียงไร โดยที่ประชุม COP 26 อาจผลักดันให้บริษัทเปิดเผยข้อมูลในส่วนนี้มากขึ้น

จากการวิเคราะห์ของ คาร์บอน แทรกเกอร์ ซึ่งเป็นสถาบันนักคิดในลอนดอน กว่า 70% ของบริษัทชั้นนำของโลกไม่เปิดเผยผลกระทบของความเสี่ยงเรื่องสภาวะอากาศในงบการเงินปี 2563 ในเมื่อไม่มีข้อมูลเหล่านี้ก็ไม่มีทางรู้ว่าเงินทุนมีความเสี่ยงอย่างไร หรือมีการจัดสรรเงินทุนไปทำธุรกิจที่ไม่ยั่งยืนหรือไม่

รัฐบาลอังกฤษ เป็นเศรษฐกิจใหญ่ประเทศแรก ที่ได้ประกาศเมื่อสัปดาห์ที่แล้วว่า จะกำหนดให้บริษัทต่าง ๆ รายงานความเสี่ยงและโอกาสที่เกี่ยวข้องกับสภาวะอากาศตามกฎหมาย โดยกฎหมายที่เสนอนี้จะนำไปใช้กับบริษัทใหญ่ ๆที่จดทะเบียน ในตลาดหลักทรัพย์ลอนดอน ธนาคารและบริษัทประกัน ตลอดจนบริษัทเอกชนที่มีพนักงานมากกว่า 500 คนและมียอดขาย 500 ล้านปอนด์

มีรายงานว่า นักล็อบบี้ธุรกิจจากประเทศต่าง ๆ ทั่วโลก กำลังเรียกร้องให้ผู้เจรจาในที่ประชุม COP 26 หารือถึงแนวทางที่จะปรับการเปิดเผยข้อมูลให้ลดลง เพื่อที่บริษัทต่าง ๆ สามารถทำงานภายใต้กรอบการทำงานที่สอดคล้องกันได้

นี่คือเหตุผลคร่าว ๆ ที่พอจะชี้ให้เห็นว่า ปัญหาสภาวะอากาศมันมีผลต่อเงินลงทุนของนักลงทุนอย่างไร และเหตุใดนักลงทุนควรจับตาการประชุม COP 26 อย่างใกล้ชิด

การสัญญาจากประเทศที่สร้างมลภาวะรายใหญ่อย่างจีนและสหรัฐฯ และประเทศอื่น ๆ และการสนับสนุนเงินทุนให้ประเทศยากจนเพื่อให้บรรลุเป้าหมายเกี่ยวกับสภาวะอากาศ จะมีความสำคัญต่อการวางแผนการลงทุนมาก แม้ว่ายังมีอุปสรรคหลายอย่างที่อาจทำให้การประชุมในครั้งนี้ ไม่บรรลุเป้าหมายตามที่คาดหวังก็ตาม

Back to top button