กลับสู่การปิดประเทศจนได้

อนุทิน ชาญวีรกูล รมว.สาธารณสุขและรองนายกรัฐมนตรี เพิ่งคำราม “โควิดกระจอก” เป็นคำรบ 2 หยก ๆ เมื่อวันที่ 16 ธ.ค.ที่ผ่านมา


อนุทิน ชาญวีรกูล รมว.สาธารณสุขและรองนายกรัฐมนตรี เพิ่งคำราม “โควิดกระจอก” เป็นคำรบ 2 หยก ๆ เมื่อวันที่ 16 ธ.ค.ที่ผ่านมา

ไม่ทันไรเช้าวันจันทร์ที่ 20 ธ.ค.ไปยอมรับกับ “หมาแก่” ที่ช่องอสมท.ซะแล้วว่า จะไปเสนอศบค.ให้ยกเลิกมาตรการเข้าประเทศแบบ “Test&Go” โดยไม่ต้องกักตัว หากฉีดวัคซีนครบและมีผลตรวจเป็นลบก่อนการเดินทาง

ลมปากรัฐมนตรี แพร่กระจายไปทั่ว สร้างความอกสั่นขวัญแขวนไปยังผู้ประกอบธุรกิจการท่องเที่ยว ที่เพิ่งดีใจได้ไม่นานจากการเปิดประเทศ ตลาดหุ้นวันนั้นก็ตกรูดถึง 25 จุด

ช่วงบ่ายวันจันทร์นั้นเอง พล.อ.สุพจน์ มาลานิยม ผู้บัญชาการทหารไทย ทำหน้าที่เลขาธิการศบค. ก็ยังได้ออกมาสยบข่าวร้อนแรงว่า อาจจะมีแค่การทบทวนบัญชีรายชื่อประเทศที่มีความเสี่ยงต่ำ เท่านั้น ไม่ถึงกับจะไปยกเลิกโปรแกรม “เทสต์ & โก” ทั้งหมด และต้องรอไปถึงวันศุกร์ถึง จะมีการประชุมศบค.เพื่อตัดสินใจ

แต่แล้ว ไม่ต้องรอถึงวันศกวันศุกร์อะไรแล้ว พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและในฐานะประธานศบค.ก็สั่งเปรี้ยงล้ม “เทสต์&โก” มาตรการเข้าประเทศโดยไม่กักตัวแก่นักท่องเที่ยวรายใหม่ โดยให้มีผลทันทีไปจนถึงวันที่ 4 มค.ปีหน้า ค่อยกลับมาพิจารณาใหม่

ส่วนนักท่องเที่ยวที่ลงทะเบียนผ่านแอปพลิเคชัน ที่ได้รับอนุมัติแล้ว 1.1 แสนคน ก็ปล่อยเลยตามเลยไป แต่อีก 9 หมื่นคนอยู่ระหว่างการพิจารณา ก็ยังคงให้เดินทางได้ตามแผน แต่ต้องตรวจ RT-PCR เพิ่มเป็น 2 ครั้งในวันที่ 1 และวันที่ 7

เท่ากับต้องกักตัว 7 วัน ไม่ใช่ 1 วันเหมือนแต่ก่อน

ไม่ปิดเมืองก็เหมือนปิดเมือง (ล่ะว้า) น่าเสียดาย ทำไมรัฐบาลปอดแหกอย่างนี้!

ตอนตัดสินใจเปิดประเทศ 1 พ.ย.ที่ผ่านมา ความเสี่ยงยังมีมากกว่านี้เยอะเลย ยอดผู้ติดเชื้อโควิด อยู่ในระดับ 8.9 พันคน (ณ 31 ต.ค.) และเสียชีวิตในระดับ 47 คน

เทียบกับปัจจุบัน ยอดผู้ติดเชื้อต่ำกว่า 3 พันคน และเสียชีวิตในระดับ 31 คน

จำนวนผู้ฉีดวัคซีนในช่วงตัดสินใจเปิดเมือง ก็อยู่ในระดับต่ำมาก แทบจะเรียกว่า ภูมิคุ้มกันในการเปิดเมือง มีระดับต่ำอย่างน่าใจหาย

อัตราการฉีดวัคซีนสะสมเข็มที่ 1 (ณ 31 ต.ค.) จำนวน 42.3 ล้านโดส อยู่ในราวร้อยละ 63 ของประชากรเท่านั้น ส่วนอัตราการฉีดวัคซีนสะสมเข็มที่ 2 ก็ยังเพียงแค่ 30.91 ล้านคน คิดเป็นเพียงร้อยละ 46.25 โดยประมาณเท่านั้น

ยังห่างไกลต่ออัตราการฉีดครบ 2 เข็มร้อยละ 70 ที่จะเกิด “ภูมิคุ้มกันหมู่” หรือที่เรียกว่า “Herd Immunity” ตามเกณฑ์มาตรฐานสากลเป็นอันมาก

ผิดกับในปัจจุบันที่ เข็ม 1 ฉีดสะสมไปแล้ว 50,788,416 โดส คิดเป็นกว่าร้อยละ 76 ของประชากรแล้ว และจำนวนการฉีดสะสมเข็ม 2 ก็ปาเข้าไป 44,905,883 โดส คิดเป็นร้อยละ 67 ใกล้เป้าหมาย 70% เต็มทีแล้ว

จะเห็นได้ว่า การเปิดประเทศในวันโน้น 1 พ.ย. มีความเสี่ยงสูงกว่ามาก ทั้งอัตราการติดเชื้อในระดับสูง และภูมิคุ้มกันอันน้อยนิดจากการฉีดวัคซีนในระดับต่ำ ผิดกับในวันนี้ที่ตัดสินใจกลับสู่มาตรการกักกันตัวนักท่องเที่ยวอีกครั้ง

ถึงจะเป็นมาตรการชั่วคราวแค่ 14 วันก็เถอะ แต่วงจรธุรกิจท่องเที่ยว ขาดผึงไปแล้ว 90,000 คนที่ยังอยู่ในกระบวนการอนุญาต จะเหลือรอมาเที่ยวเมืองไทยสักหมื่น-สองหมื่นคนหรือเปล่าก็ยังไม่รู้

ผมว่าการกลับมาล็อกดาวน์นักท่องเที่ยวอีกครั้ง เป็นการตัดสินใจที่ไม่รอบคอบและไม่มีข้อมูลรองรับเพียงพอเอาเสียเลย

มีอย่างที่ไหน รมว.สาธารณสุข เพิ่งบอกหยก ๆ ว่า “โควิดกระจอก” แต่อีก 2-3 วันกลับลำให้ใช้มาตรการยาแรงเสียแล้ว วันรุ่งขึ้นนายกรัฐมนตรี ก็รวดเร็วทันใจ ระงับการอนุญาตนักท่องเที่ยวใหม่เข้าประเทศเสียเลย โดยไม่รอประชุมศบค.วันศุกร์ในอีก 3 วันข้างหน้า

การยกเว้น “แซนด์บ็อกซ์” ก็สุกเอาเผากินเสียเหลือเกิน ทำไมให้แต่ “ภูเก็ตแซนด์บ็อกซ์” แล้ว “สมุยแซนด์บ็อกซ์” ละเลยเขาไปได้อย่างไร

อีกอย่างหนึ่ง ถ้าสมมติฐานในเรื่อง “โอมิครอนแพร่เร็ว แต่พิษสงน้อยกว่าเดลต้า” เป็นจริง ผมว่าจะกลายเป็น “ตีโง่” อีกครั้งในสงครามโควิด

Back to top button